‘พารู้จัก Sharenting พ่อแม่สายแชร์ ที่อาจทำร้ายลูกน้อยโดยไม่รู้ตัว’
.
“นางบอกทำใจยาก ให้คนอื่นเห็นหน้าลูก เว่อวัง”
“อย่าโชว์เถอะหน้าลูก รำคาญ เยอะ ลูกเทวดามาเกิด...”
คำพูดเหล่านี้คือคำพูดที่ชาวเน็ตวิจารณ์ ‘ปุ้มปุ้ย พรรณทิพา’ และ ‘กวินท์ ดูวัล’ กรณีที่พวกเขาตัดสินใจไม่เปิดเผยหน้าลูกลงโซเชียลมีเดีย หลายคนกล่าวว่าบุคคลสาธารณะคนอื่นในไทยก็ไม่ได้มีปัญหากับการเปิดเผยหน้าลูก แต่ก็มีหลายความเห็นกล่าวว่า การที่ผู้ปกครองถ่ายรูปลูกลงโซเชียลมีเดีย หรือ Sharenting ถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของเด็ก
.
Sharenting ถูกพูดถึงครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal ในเวลานั้นมีการเรียกคำนี้ว่า “Oversharenting” และภายหลังก็เรียกให้สั้นลงว่า “Sharenting” ซึ่งเกิดจากการผสมคำว่า “Share” และ “Parenting” หมายถึงพฤติกรรมที่ผู้ปกครองแชร์ภาพ วิดีโอ หรือข้อมูลส่วนตัวของลูกในโซเชียลมีเดียมากเกินไป จนไม่คำนึงถึงสิทธิความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของตัวเด็ก
.
ในแง่หนึ่ง การโพสต์ภาพน่ารักสดใสของลูกน้อยบนโซเชียลมีเดียอาจเป็นโพสต์เรียกพลังบวกสำหรับญาติสนิทมิตรสหายของพ่อแม่ หรือเป็นการแบ่งปันเส้นทางการเติบโตของหนูน้อยที่พ่อแม่จะไม่สามารถย้อนกลับมาเก็บภาพความประทับใจเหล่านี้ได้เมื่อพวกเขาโตขึ้น แต่ในอีกแง่หนึ่ง พฤติกรรม Sharenting ก็เปรียบเสมือนดาบสองคมที่ทำร้ายลูกน้อยโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นจากปัจจัยภายนอกหรือภายใน แน่นอนว่าผลกระทบภายนอกที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นอันดับแรกคือ ความปลอดภัยของลูก การโพสต์ชีวิตประจำวันของลูกลงบนโซเชียลอาจเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ไม่หวังดีเข้าถึงตัวเด็กได้ง่ายขึ้นจากการแกะรอยกิจกรรมของลูก ปัญหาอาจทวีความรุนแรงมากขึ้นหากมีมิจฉาชีพนำรูปลูกของเราไปสร้างตัวตนใหม่ เช่น ขอรับบริจาคออนไลน์ หรือ นำภาพของลูกเราไปใช้สนองความใคร่ของกลุ่มผู้มีอาการใคร่เด็ก (pedophile) ไม่เพียงเท่านั้น พฤติกรรม Sharenting อาจส่งผลร้ายแรงต่อพัฒนาการของลูก ไม่ว่ากระแสที่ได้รับกลับมาจะเป็นบวกหรือลบ หากเป็นบวก เด็กอาจมีอาการเสพติดโลกออนไลน์ที่พ่อแม่สร้างตัวตนของเขาขึ้นมา ส่วนหากกระแสเป็นลบ อาจส่งผลต่อความมั่นใจของเด็กเมื่อเขากลับมาอ่านความเห็นแง่ลบเกี่ยวกับตัวเองในอนาคต จะเห็นได้ว่า ผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการแชร์เรื่องราวน่ารัก ๆ ในชีวิตของลูกนั้นมีไม่ใช่น้อยเลย
.
ปัจจุบันในประเทศไทยอาจยังมีบุคคลสาธารณะเพียงไม่กี่คนที่ยืนหยัดไม่โพสต์ข้อมูลส่วนตัวของลูกลงบนโซเชียลมีเดียอย่างปุ้มปุ้ย-กวินท์ เพราะบุคคลสาธารณะส่วนใหญ่ในสังคมที่เราเห็นมักอวดโฉมลูกน้อยของตนบนโลกออนไลน์ บ้างก็เพื่อแชร์ความน่ารักน่าเอ็นดู หรือบ้างกลับใช้ลูกเป็นเครื่องมือในการสร้างรายได้จนชาวเน็ตวิจารณ์ว่าเกินงาม แต่ในต่างประเทศกลับเป็นเรื่องตรงกันข้าม เพราะบุคคลสาธารณะส่วนใหญ่ที่เป็นชาวต่างชาติมักตระหนักเรื่องการเคารพสิทธิความเป็นส่วนตัวของเด็กและไม่เปิดเผยข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับลูกลงบนอินเตอร์เน็ต อย่าง Gigi Hadid นางแบบชื่อดังที่ขอให้ช่างภาพและสื่อต่าง ๆ เบลอหน้าลูกของเธอ เพราะอยากให้ลูกมีวัยเด็กที่ปกติโดยไม่ต้องกังวลเรื่องภาพลักษณ์ที่ไม่ได้เลือกเอง ความแตกต่างดังกล่าวอาจเป็นเพราะในประเทศอื่น ๆ อย่างสหรัฐอเมริกามีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคลของเด็กและเยาวชน เพื่อป้องกันการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจากการใช้อินเทอร์เน็ตของเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี แต่ในประเทศไทยกลับไม่พบว่ามีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กเช่นประเทศอื่น จึงเป็นเหตุให้บุคคลสาธารณะหรือคนทั่วไปในสังคมเรายังมองว่าการโพสต์รูปลูกไม่ใช่การละเมิดสิทธิเด็ก
.
สุดท้ายนี้ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเป็นการจุดประกายเล็ก ๆ ให้คุณผู้อ่านได้ตระหนักเรื่องการปกป้องผู้เยาว์ในสื่อมากยิ่งขึ้น อย่างการแชร์รูปภาพลูกบนโซเชียลมีเดียที่อาจเป็นดาบสองคมต่อตัวผู้ปกครองเอง และต่อตัวลูกน้อยได้อย่างไม่คาดคิด เพราะถึงแม้ข้อมูลนั้น ๆ จะถูกลบไปแล้ว แต่ Digital Footprint หรือรอยเท้าดิจิทัล ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เคยหายไปในโลกออนไลน์
.
เนื้อหา : Mondaysep และ Natasha Kay
พิสูจน์อักษร : เธียรชัย ทองเงิน และ พรรวษา เจริญวงศ์
ภาพ : จิรัชยา เจียรรัตนพงศ์
.
อ้างอิง
The 101. World, (2021), Sharenting’ เมื่อการโพสต์รูปด้วยความรักของพ่อแม่อาจกำลัง ‘ละเมิดสิทธิ’ ของลูก. สืบค้นเมื่อ 30 มีนาคม 2565, //////// จาก https://www.the101.world/the-perils-of-sharenting/.
Know Your Meme, (2019), Sharenting. Retrieved 30 March 2022, //////// From https://knowyourmeme.com/memes/sharenting.