ทำให้ ‘สมเชิงชาย’ สำรวจแนวคิดเรื่องความเป็นชายผ่านผู้ชนะสิบทิศ
.
‘ผู้ชนะสิบทิศ’ เป็นนวนิยายอิงพงศาวดารพม่าชื่อดังที่เขียนขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๗๔ โดย ยาขอบ ผู้ประพันธ์อ้างว่าเขาได้นำเอาตัวละครที่มีอยู่จริงจากพงศาวดารมาแต่งขึ้นใหม่ โดยให้มีลักษณะนิสัยใจคอตามที่เขาได้คิดขึ้นมาเอง ในนวนิยายระดับตำนานเรื่องนี้ ยาขอบได้สอดแทรกเรื่องราวความรักและความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครชายหญิงหลายคู่ โดยประเด็นสังคมสำคัญที่น่าสนใจในเรื่องราวความสัมพันธ์ของชนชั้นสูงเหล่านี้นั้นคงหนีไม่พ้นบทบาททางเพศ (gender dynamic) ที่แต่ละตัวละครแสดงออกมา ผู้เขียนได้เล็งเห็นว่าบทสนทนาโต้ตอบในหลายฉากนั้นมีความเกี่ยวเนื่องอยู่กับการแสดงความเป็นชายของตัวละคร และได้ตั้งคำถามว่าการปฏิบัติตนให้สม ‘เชิงชาย’ ตามคำที่ผู้ประพันธ์ได้เขียนไว้นั้นมีความหมายอย่างไร จึงได้ยกตัวอย่างเหตุการณ์บางตอนจากหนังสือผู้ชนะสิบทิศเล่ม ๑ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๓ ของสำนักพิมพ์แสงดาวมาเพื่อประกอบการวิเคราะห์
.
ตัวอย่างที่ ๑ ตอน เพื่อนรักเมียงาม
เมื่อครั้งจะเด็ด ผู้เป็นตัวละครเอกของเรื่องได้ไปเป็นพนักงานรับใช้ของทกะยอดินขุนวังเมืองตองอู ความใกล้ชิดและคารมของจะเด็ดทำให้นางนันทวดี ลูกสาวของทกะยอดินมีใจพิศวาสในตัวชายหนุ่ม ก่อนที่นางนันทวดีจะต้องเข้าวังด้วยหน้าที่เพื่อไปเป็นภรรยาของมังตรา บุตรของพระเจ้าเมืองตองอู จะเด็ดจึงได้กล่าวแก่นางว่า “ข้าพเจ้าไม่เคยได้ล่วงล้ำท่านตาม ‘เชิงชาย’ บัดนี้จะขอฝากรอยรักไว้บนกระพุ้งแก้มเป็นครั้งสุดท้าย”
ตามบริบททางสังคมในเรื่องผู้ชนะสิบทิศ การที่ชายหญิงที่ไม่ได้เป็นคู่สามีภรรยาแตะเนื้อต้องตัวกันถือเป็นเรื่องต้องห้าม แม้กระทั่งการอยู่ด้วยกันเพียงสองต่อสองก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ การที่จะเด็ดกล่าวดังนี้บ่งชี้ให้เห็นว่า แม้การที่จะเด็ดจะจูบแก้มนางนันทวดีเป็นการทำผิดครรลองของสังคม แต่สำหรับเพศชายแล้วนั้น พฤติกรรมการล่วงละเมิดทางเพศแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ทำกันทั่วไปตามประสาผู้ชาย ผิดถูกอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าหนักใจของฝ่ายหญิงแต่เพียงผู้เดียว
.
ตัวอย่างที่ ๒ ตอน มังฉงายขุนวัง
หลังจะเด็ดได้ออกจากตองอูมาเมืองแปรแล้วก็ได้แปลงนามเป็น ‘มังฉงาย’ และเข้ารับราชการเป็นขุนวัง เพื่อที่จะเข้าไปสืบราชการและหาลู่ทางที่จะนำทัพตองอูมาตีเมืองแปร ในขณะเดียวกันมังฉงายก็ได้ผูกรักกับตละแม่กุสุมา พระราชธิดาของพระเจ้าเมืองแปร ในฉากหนึ่งที่จะเด็ดได้สนทนากับนางอเทตยา ผู้เป็นหลานสาวเจ้าเมืองแปรและลูกพี่ลูกน้องของตละแม่กุสุมา ชายหนุ่มคิดขึ้นว่าการที่นางอเทตยาจะไปเปิดเผยเรื่องที่ตนกับตละแม่กุสุมาจับมือถือแขนกันจะทำให้ภัยมาถึงตัว จึงได้วางแผนที่จะกล่อมให้นางอเทตยาใจอ่อนและล้มเลิกความตั้งใจ ด้วยการไขว่คว้ารวบรัดเอาตัวนางไว้ จนทำให้หญิงสาวชาววังผู้ไม่เคยต้องมือชายเกิดความขวยใจ และยอมอ่อนลงในที่สุด “ขุนวังคนใหม่พิเคราะห์รูปแลนิสัยพระราชภาคิไนยพระเจ้าแปรแล้ว ก็คะนึงนึกว่านางนี้จริตกริตกิริยามิใช่ชั่ว แม้นละไปเสียไม่ประทับรสมือไว้แก่นางแล้ว ก็จะดูหมิ่นว่าเราไม่รู้ ‘เชิงชาย’ ”
.
ตัวอย่างที่ ๓ ตอน ตามนาง
ภายหลังเมื่อตละแม่กุสุมาถูกสอพินยาซึ่งเป็นอนุชาของพระเจ้าหงสาวดีชิงตัวออกจากเมืองแปรไปเมืองหงสาวดีแล้ว จะเด็ดผู้นึกว่าตละแม่กุสุมาทรยศรักตนและหนีไปกับสอพินยานั้นก็ได้สนทนากับจาเลงกะโบผู้เป็นศิษย์ร่วมสำนักว่า ความแค้นในตัวตละแม่กุสุมานั้นก็ไม่อาจเทียบความแค้นต่อตนเองที่ ‘เป็นชายไม่สมชาย’ มิได้ล่วงเกินและปลุกปล้ำตละแม่เสียแต่เมื่อตนมีโอกาส
ในตัวอย่างที่ ๒ มังฉงายได้ฉวยโอกาสแตะเนื้อต้องตัวนางอเทตยา เนื่องจากตนมองเห็นทั้งลู่ทางในการจะทำให้ตนพ้นภัย รวมถึงตนเองก็จะได้แสดงความเป็นชายอีกด้วย จึงได้ตัดสินใจเช่นนั้น และจากตัวอย่างที่ ๓ เราจะเห็นได้ว่าตัวจะเด็ดเป็นผู้ที่รักในศักดิ์ศรีความเป็นชายมาก และเชื่อว่าการที่ตนไม่ประพฤติตนตามคุณลักษณะของชายทั่วไป (ซึ่งในบริบทนี้คือการล่วงเกินเพศหญิง) ถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย สองเหตุการณ์นี้ยิ่งตอกย้ำแนวคิดที่ว่าเมื่อเกิดเป็นชายแล้วต้องแสดงความเป็นชายออกมาให้เหมาะสม ถึงแม้การกระทำนั้นจะเป็นการกดขี่เพศหญิงก็ตาม ตัวละครจะเด็ดเองดูหมกมุ่นกับการแสดงความเป็นชายของตนอยู่ไม่น้อยและดูมีความคิดว่าเป็นเรื่องที่ ‘ต้อง’ ทำ มิใช่เพียงแค่สมควรทำ
.
ตัวอย่างที่ ๔ ตอน กุสุมาเสียตัว
ฝ่ายสอพินยาได้หลอกลักพาตัวและข่มขืนตละแม่กุสุมา ทำให้ตัวนางเองและพระมารดาแค้นใจหนัก ไขลูทหารคนสนิทของสอพินยาจึงได้แก้ตัวให้ว่าการกระทำของนายตนนั้นเป็นการกระทำอัน ‘สมเชิงชาย’ แล้ว เพราะว่าเมื่อตกหลุมรักตละแม่เมืองแปรแล้วก็ยอมสู้จนสุดชีวิตเพื่อที่จะชิงนางมาไว้กับตัวให้ได้
ในสมัยก่อนนั้นสำหรับเพศหญิงพรหมจารีถือเป็นสิ่งสำคัญประดับตัว หากหญิงใดเสียพรหมจารีก็นับว่าสูญคุณค่าในตัวไปหมดสิ้น การที่สอพินยาได้ชิงตัวนางกุสุมาไปนั้นจึงเปรียบเสมือนการทำลายคุณค่าในตัวนางกุสุมาไปจนหมด การกระทำนี้เองที่ตัวไขลูและสอพินยาถือเป็นเครื่องชูความเป็นชายของตน ทำเรื่องผิดให้เป็นถูกด้วยเหตุผลว่าเป็นเรื่องที่ชายหนุ่มพึงกระทำเมื่อมีความรัก
.
ตัวอย่างข้างต้นชวนให้สงสัยว่า ในมุมมองของผู้ประพันธ์ การล่วงเกินสตรีเพศนั้นถือว่าเป็นข้อกำหนดในการตัดสินว่าบุรุษผู้นั้นมีความประพฤติอย่างสมชายใช่หรือไม่ และบุคคลที่ประกาศศักดาความเป็นชายของตนบนความทุกข์ของหญิงที่ถูกล่วงละเมิดนั้นเป็นสิ่งที่คนทั้งหลายควรยกย่องสรรเสริญว่าเป็นยอดชายอย่างนั้นหรือ ในการกล่าวเช่นนี้อาจตีความได้ว่าความเป็น ‘ชายสมชาย’ ในความคิดของตัวละคร หรือในมุมมองแบบปิตาธิปไตยอาจหมายถึงการทำลายศักดิ์ศรีและคุณค่า (devalue) ของผู้หญิงเพื่อที่จะกดให้สถานะของผู้หญิงให้ต่ำกว่าแล้วยกตนเป็นใหญ่ก็เป็นได้ ซึ่งแนวคิดนี้ส่งผลเสียมากเนื่องจากจะนำไปสู่ความเป็น toxic masculinity ที่มองว่าผู้ชายจะทำอะไรก็ไม่ผิดเพราะเป็นพฤติกรรรมปกติตามธรรมชาติ ตามเพศสภาพที่กำหนดมา แล้วความโชคร้ายก็จะตกมาอยู่กับเพศหญิงซึ่งเป็นเหยื่อของการกระทำแทน นอกจากจะเป็นการมองข้ามปัญหาแล้วยังเหมือนเป็นการสนับสนุนให้ผู้ชายเห็นผิดเป็นถูกอีกด้วย
.
อย่างไรก็ตาม ยาขอบผู้ประพันธ์ได้ให้สัมภาษณ์ว่าตนเขียนเรื่องนี้ขึ้นด้วยอารมณ์ฝัน และกล่าวว่า “ถ้าท่านพอใจอ่านเรื่องทำนองพงศาวดารที่ไม่ลอกพงศาวดารของเรื่องเดิมอย่างกล้าหาญแล้ว ข้าพเจ้าขอเชิญชวนให้ท่านติดตามข้าพเจ้าไปในผู้ชนะสิบทิศอีก” ดังนั้น gender dynamic ของตัวละครแต่ละตัวอาจไม่ได้อิงจากแนวคิดและมุมมองในสังคมในขณะนั้นเสียทีเดียว แต่เป็นเพียงแค่จินตนาการส่วนหนึ่งของผู้ประพันธ์เองที่ตั้งใจเขียนขึ้นมาเพื่อความบันเทิง หรืออาจเขียนขึ้นมาเป็น shock value เพื่อเรียกกระแสจากนักอ่านเท่านั้น อีกทั้งนวนิยายเรื่องนี้ตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกใน พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งเป็นช่วงหลังการปฏิวัติการปกครองที่ทำให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทในสังคมและอำนาจในการตัดสินใจใช้ชีวิตของตนมากยิ่งขึ้นอีกด้วย ทำให้แนวคิดแบบชายเป็นใหญ่นี้ขัดกับแนวคิดที่กำลังพัฒนาของสังคมอย่างชัดเจน
.
นามปากกา : ร่มลำดวน
พิสูจน์อักษร : กาย และ ปฐิมาพร ฮ้อศิริมานนท์
กราฟิก : อรรถกร สุวรรณกร
.
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
ยาขอบ (นามแฝง), ผู้ชนะสิบทิศ เล่ม 1, หน้า (21)
ยาขอบ (นามแฝง), ผู้ชนะสิบทิศ เล่ม 1, หน้า 82
ยาขอบ (นามแฝง), ผู้ชนะสิบทิศ เล่ม 1, หน้า 225
ยาขอบ (นามแฝง), ผู้ชนะสิบทิศ เล่ม 1, หน้า 442
ยาขอบ (นามแฝง), ผู้ชนะสิบทิศ เล่ม 1, หน้า 535
ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์. (2565). ‘ผู้ชนะสิบทิศ’ วรรณกรรมหลังปฏิวัติ 2475 ที่ฉายความรุ่งโรจน์ของสามัญชนกับมรณกรรมของผู้ประพันธ์. (ออนไลน์). สืบค้น 5 สิงหาคม 2567, จาก https://www.the101.world/the-conqueror-of-ten-directions/
สุธามาส ทวินันท์. (2564). ความเท่าเทียมทางเพศบนรากฐานของประชาธิปไตยจากยุค 2475 ถึง 2564 ‘ชานันท์ ยอดหงษ์’. (ออนไลน์). สืบค้น 5 สิงหาคม 2567, จาก https://themomentum.co/closeup-chanan-yodhong-2475/