(Tides & Thorns) ในอนันตพันธนะ

(Tides & Thorns) ในอนันตพันธนะ

.

เมื่อทิวากาลมาเยือน บทเพลงแห่งความฝันที่ปราศจากท่วงทำนองของการหลับใหลก็เริ่มบรรเลง

.

เรา ข้าพเจ้า และเธอ ต่างก็นั่งเอนกายแนบพิงกันอยู่ติดขอบหน้าต่าง เธอเมียงมองออกไปด้านนอกกรอบสี่เหลี่ยมอันเป็นเขตแดนของเรา ดวงตากรีดกรายไปตามสวนหย่อมเล็ก ๆ หลังบ้านที่แผ่กว้างถึงแนวรั้วหนามสีแดงดำ ซึ่งทำหน้าที่กรีดเส้นแบ่งสีฟ้าปลอดโปร่งและสีเขียวแมกไม้ของทัศนียภาพคับแคบนี้เอาไว้โดยสมบูรณ์ มีเสียงเสียดผ่านของใบไม้ล่องลอยอยู่ในอ้อมอากาศ มีเนินดินห่มคลุมด้วยต้นหญ้าอยู่ตรงหน้า มีกระถางดินเผาเล็กใหญ่วางขนัด สวนของเธอมีสีเขียวเป็นส่วนมาก ไม่แปลกที่เธอมักจะขวนขวายมองหาสีสันอื่นมารจิตให้พื้นที่แห่งนี้มีชีวิตชีวา เธอพยายาม หากแต่ไม่เคยเป็นผล 

.

ทุกครั้งที่ทิวากาลหอบหิ้วสายลมเอื่อยและแสงแดดอ่อนล้ามาด้วยนั้น เธอจะหวนนึกถึงเหล่าผกาที่นอนซบเซาอยู่บนดิน อยู่ในกระถาง อยู่บนเนินดินสีเขียวตรงนั้น อันไร้ซึ่งสีสันของกลีบดอก ปีกของพืชดอกของเธอมีแต่ปีกที่บอบช้ำและถูกเด็ดทิ้ง ประดานั้นจะทำให้เธอร่วงหล่นสู่กับดักของความสงสัยใคร่รู้ว่า “ทำไมหนอ ทั้งที่หมั่นรดน้ำและเลี้ยงดูอย่างขมีขมัน ทั้งที่อุทิศเวลาและจิตวิญญาณให้เป็นปุ๋ยแก่มัน ไยจึงไม่มีทีท่าว่าจะงอกงามให้สมกับความตั้งใจที่มอบให้เสียที” เธอจะใคร่ครวญ และบางครั้งก็ปล่อยให้คำถามที่สะท้อนอึงอลอยู่ในกะโหลกแทะกินจนเนื้อกายปอกถลอกก่อนค่อยถอยกลับออกมา ส่วนบางคราเธอก็อนุญาตให้การบ่อนทำลายนั้นกลายเป็นนิรันดรภายใต้คำอ้างของการทบทวน รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เธอใฝ่คว้าไม่มีอยู่ในแห่งหนใดให้พบหา เธอปล่อยให้ตนเองร่วงจมลงสู่พื้นสมุทรโดยไม่รู้จักการแหวกว่ายทวนคลื่นน้ำ ทว่าสุดท้าย ไม่ว่านานเพียงใด เธอจะหาทางตะเกียกตะกายขึ้นสู่ผิวน้ำได้เสมอ เสี้ยวหนึ่งของวัยเยาว์เธอยังคงรุ่งโรจน์เกินกว่าจะยอมเป็นเพียงเรือสำราญที่อับปางลงสู่ความมืดมิด ไม่ว่าอย่างไร เธอก็ยังคงต้องการอากาศหายใจ เธอจำเป็นต้องกลับขึ้นมา ไม่ว่าจะดำดิ่งลงไปอีกสักกี่ครั้งก็ตามแต่

.

ข้าพเจ้าหลับตา ใบหน้าเชิดรับคลื่นความสงบเย็นเมื่อระลอกลมเงียบเหงาเคลื่อนตัวผ่าน จมูกสูดดมสุคนธ์หวานชื่นของความหวังอ่อนจางที่จวนเจียนจะสูญสิ้น เส้นผมเหยียดยาวของเธอสยายตาม บิดคลายม้วนเส้นสีน้ำตาลซึ่งหยอกล้อประกายแดดให้พลิ้วไหว ส่วนเธอแน่นิ่ง – ข้าพเจ้าได้ยินเสียงตนเองเปล่งเพรียกชื่อของเธอเบา ๆ หนึ่งครั้ง เธอไม่ขยับ เปลือกตาเซื่องซึมเผยรอยร้าวยามต้องแสง แพขนตาเหลือเพียงร่องรอยของหยาดน้ำตาที่เหือดแห้ง กลีบปากเผยออ้าเหมือนรอยแผล เธอคงตั้งใจจะกลืนก้อนวาจาในปากกลับลงท้องกระมัง แต่แล้วคงพบว่าภายในตัวเธอนั้นไม่เหลือพื้นที่มากพอให้สามารถทำได้อีก ความลังเลระคนหวั่นผวาผลุบโผล่วูบไหวในนัยน์ตาละม้ายคล้ายเปลวเพลิงโชติช่วงขณะหนึ่ง กระทั่งเธอยอมจำนนขย้อนสิ่งเหล่านั้นออกมา ความสงบนิ่งจึงได้กลับเข้าไปดับไฟดวงนั้น

.

“ทำไม” คำแรกของเธอเป็นเสียงปริแตก ข้าพเจ้าสดับฟัง “ทำไม… ทำไมผลลัพธ์ที่ได้ถึงไม่เห็นสมกับความพยายามของฉันเลย” เธอเอ่ยขณะที่ยังจ้องมองเนินดินโล่งเตียนเบื้องหน้า “ทำไม ทำไม ทำไม” ต่อมาเธอกระซิบแผ่วเบา “ทั้ง ๆ ที่ทำเหมือนคนอื่นเขาทุกอย่าง พยายามเหมือนกัน ใจเย็นเหมือนกัน เฝ้าคอยเหมือนกัน เหนื่อยเหมือนกัน – ทำไมมีแต่ฉันที่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ”

.

เสียงของเธอช่างราบเรียบเหลือเกิน ราวกับความรู้สึกของเธอกำลังโรยรา เธอเท้าแขนไว้กับขอบหน้าต่าง โน้มตัวออกไปด้านหน้าเสมือนทานตะวันเหียนหันหาแดด เธอเองก็คงอยากสัมผัสความรู้สึกของการได้อยู่ในอ้อมแขนของแสงสว่างเช่นกัน ข้าพเจ้าพินิจ บางทีเธอคงหนาวเหน็บจากการเวียนว่ายอยู่แต่ในห้วงน้ำ 

.

“ฉันบกพร่องตรงไหนหรือ” นิ้วมือเธอเริ่มไล้ลามไปตามท่อนแขน ปลายเล็บจิกผิวหนัง น้ำเสียงสั่นเครือ “ตรงไหนกัน ทำไมคนอื่นจึงก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่นอย่างนั้น ด้านนอกนั่น ทำไมอนาคตของพวกเขาจึงดูราวกับว่าถูกเพาะปลูกได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน” ดวงตาของเธอจรดจ้องอยู่ที่รั้วหนาม

.

ข้าพเจ้าตอบเธอไม่ได้ เพราะหากทำได้ ข้าพเจ้าคงไม่อยู่ที่นี่ อยู่ใต้แสงแดดของทิวากาลเดียวกับเธอ อยู่ในกรอบหน้าต่างบานเดียวกับเธอ – ข้าพเจ้าตอบเธอไม่ได้ จึงมองออกไปยังเนินดินใต้แสงสว่างด้านนอกบ้าง อย่างที่เธอชอบทำ ราวกับว่าใต้ดินกองนั้นมีคำตอบของเธอถูกฝังอยู่

.

“ทำไมจึงมีแต่ฉัน ที่นานวันมีแต่จะหยั่งรากลึกลงดิน ติดอยู่กับความทะเยอทะยานอันไร้น้ำหนักของปัจจุบันกาลที่ดูไม่มีวี่แววจะกลายเป็นอดีตเสียที  ทุกขณะที่พวกเขาเดินไปข้างหน้า ฉันอยู่กับที่ ค่อย ๆ จมลงไป ฉันขยับไม่ได้ – ขยับไม่ได้เลย ทำไม… ทำไมหรือ”

.

ไม่รู้ ข้าพเจ้าไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลยเช่นเดียวกัน

.

เธอพยายามล้ำแขนออกไปนอกหน้าต่าง รยางค์เปราะบางของเธอที่ชอกช้ำไปด้วยมลทินจากการปีนป่ายลวดหนามเป็นเหมือนกิ่งก้านที่พยายามตะเกียกตะกายหาแสง ถึงกระนั้นเขตแดนของเราก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้เองนี่ เธอเอ๋ย ร่มเงาของชายคาจะบดบังเราจากประกายแสงตะวันของทิวากาลเอาไว้ไม่ให้พบผัสสะ ส่วนเธอ ข้าพเจ้าหลุบมองท่อนขาที่เธอนั่งทับซ่อนไว้ใต้ชายกระโปรงขาวธวัล และข้าพเจ้า ตรวนโซ่ที่จองจำข้อเท้าเอาไว้เพียงในบ้านจะปกป้องเราจากการโดนแผดเผา มีใครเคยบอกเราเอาไว้ว่า เรานั้นอ่อนแอต่อแสงแดดและดินแดนด้านนอกเกินไป พวกเขาจึงได้สร้างลวดหนามพวกนั้นขึ้นมา… เพื่อปกป้องน่ะ เพราะลูกนกปวกเปียกที่เติบโตจากในกรงจะไม่สามารถโบยบินได้อย่างเสรี ปีกของเราจำเป็นต้องมีท่อนไม้ประคับประคอง พวกเขาว่า – เธอเชื่อพวกเขาหรือไม่

.

แขนของเธอค้างนิ่งอยู่กลางอากาศ และราวกับนึกคิดสิ่งใดได้ เธอจึงหดมันกลับเข้ามา ข้าพเจ้าหยิบกลีบกุหลาบดำคล้ำกลีบหนึ่งที่ถูกเด็ดทิ้งไว้ตรงขอบหน้าต่างขึ้นมาเชยชม

.

“รู้อะไรไหม”

ครั้นจะดอมดม หล่อนก็สิ้นกลิ่นหอมหวานไปนานเสียแล้ว

“ฉันเองก็อยากลิ้มลองรสชาติของความสำเร็จเหมือนกัน ความผิดหวังมันขมขื่นจะตาย”

.

เมื่อเวลาเริ่มออกเดินทางอีกครา ท้องนภาก็จูงมือพาดวงตะวันออกไปไกลแสนไกล เรากลับมาแน่นิ่งดังเคย – ในดุษณี เธอยังเฝ้าคอยให้ผกาในสวนเล็กจ้อยของเธอเผล็ดบานอยู่ร่ำไป ยามใดที่ความคาดหวังบนบ่าเริ่มหนักเกินแบกไหว ยามนั้นเธอจะร้องไห้ออกมา หยดน้ำตาของเธอจะกลายเป็นห้วงสมุทร ลุ่มลึก ไร้ก้นบึ้งให้หยัดยืน คลื่นแห่งความโศกศัลย์จะพัดพาเธอออกทะเลไป เธอจึงจมจ่อมดังที่เป็นเสมอมา แต่ข้าพเจ้ายื่นมือช่วยเหลือเธอไม่ได้หรอก ทำไม่ได้ เพราะสวนหย่อมของข้าพเจ้ากลับกลายเป็นผู้วายชนม์ไปแล้วนานโข ส่วนผู้ดูแลสวนนั้นก็สำลักน้ำตายไปแล้วเช่นกัน บัดนี้ข้าพเจ้าจึงเห็นว่ารั้วหนามด้านนอกนั่นดูสูงขึ้นถนัดตาในฉับพลัน ยิ่งเธอดึงดันจะพยายาม พวกมันก็ยิ่งเติบโต ยิ่งแดงฉาน – เธอเอ๋ย ข้าพเจ้าตระหนักได้ว่าโลกด้านนอกรั้วหนามของเราคงเป็นดินแดนแสนอันตรายเป็นแน่ ด้านนอกนั่น เธอเอ๋ย คงมีผืนดินที่ดอกไม้เช่นเธอจะผลิบานใต้แสงแห่งอิสรภาพได้อย่างง่ายดายเป็นแน่ และนั่นคงเป็นสิ่งที่เป็นภัยอันร้ายแรง รั้วหนามที่นี่และโซ่ที่ล่ามเราเอาไว้จึงกำลังกำบังเราจากความอันตรายประดานั้นเอาไว้ ดังที่คนพวกนั้นย้ำบอกเราเป็นแน่

.

เธอเอ๋ย ครั้งนี้ข้าพเจ้าโศกาอาดูรออกมา 

เรียนรู้ที่จะกลับขึ้นมากอบโกยอากาศที่ผิวน้ำเข้าไว้เถิด 

เพราะหากไม่ทำเช่นนั้น ความฝันที่จะไปให้ถึงฝั่ง อาจไม่เหลือแม้กระทั่งเศษเสี้ยวเมล็ดพันธุ์ให้ลองเพาะดู

.

เนื้อหา : after summer

พิสูจน์อักษร : Wanwan_29 และ ณิชาภัทร สมบูรณ์วรรณะ

ภาพ : Moonshy