หนึ่งปีผ่านไป วันไหว้ครูกำลังจะเวียนมาอีกครั้ง
แค่เพียงได้ยินชื่อกิจกรรม ก็คงทำให้หลายคนเบะปากมองบน เพราะหากมองเพียงฉาบฉวยประกอบกับภาพจำที่ฝังหัวมานาน พิธีเล็กๆ ที่จัดเป็นประจำทุกปีนี้ดูจะเป็นความจำเจซึ่งแสดงมรดกของอำนาจนิยมระหว่างชนชั้น มรดกของช่วงเวลาที่มีผู้นั่งอยู่สูงกว่า อีกกลุ่มนั่งต่ำกว่า กลุ่มหนึ่งแหงนมอง อีกกลุ่มจับจ้องลงมา เป็นกิจกรรมที่หาได้จำเป็นอีกต่อไปในสังคมร่วมสมัย
แต่สำหรับเรา วันไหว้ครูคือสิ่งอันเป็นปัจจุบันที่สุดสิ่งหนึ่งในสังคม จริงอยู่ว่ากิจกรรมนี้เป็นดั่งกระจกสะท้อนไปหาอดีตหนหลัง ทว่าหาใช่อดีตแห่งอำนาจ แต่คืออดีตแห่งบุคคล อดีตที่นำมาสู่ปัจจุบัน อดีตของ “มนุษย์” ในวงสังคมเดียวกันเพียงแต่ต่างบทบาท เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ของปีที่ย้ำเตือนทั้งครูและศิษย์ให้ไม่หลงลืมปัจจุบัน ไม่หลงลืม “ความเป็นมนุษย์” ของกันและกัน
เพราะในระบบการศึกษาอันฟอนเฟะของประเทศที่ฟอนเฟะยิ่งกว่า—ระบบที่ปัญหาซึ่งกองสุมเป็นภูเขากลับถูกซุกไว้ใต้พรมเสมอมา ระบบที่ตีค่าราคาครูศิษย์เป็นเพียงตัวเลขวัดผล เป็นจำนวนคนสอบได้-สอบติดบนป้ายประกาศ เป็นเครื่องมือและสื่อกลางสำหรับถ่ายทอดอุดมการณ์ของคนบนหอคอยงาช้างที่กระสันอยากสร้างผลงานประดับชื่อตนนั้น—คุณค่าความเป็นมนุษย์ของทั้งผู้เป็นครูและผู้เป็นศิษย์ก็ถูกมองข้ามและหลงลืมไปได้อย่างง่ายดาย
ฉะนั้น ในโอกาสวันไหว้ครูคณะอักษรศาสตร์ประจำปี 2568 “สนามบันดาลใจ ร้อยสายใยศิษย์อาจารย์” ที่กำลังจะมาถึง เราจึงขอชวนผู้อ่านทุกท่านร่วมสำรวจอดีต รำลึกวัยเยาว์ของทั้งเด็กในวันนั้น (อาจารย์) และเด็กในวันนี้ (นิสิต) ให้เรื่องราวความฝันบนพื้นที่ปลอดภัยชื่อสนามเด็กเล่นนี้ คอยย้ำเตือนถึงความเป็นมนุษย์ของศิษย์อาจารย์ และผันเปลี่ยนความตระหนักนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนไปพร้อมกัน
คืนค่าความเป็นมนุษย์
ในสถาบันการศึกษา ทั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ผู้เป็นครูมักจะถูกสร้างภาพจำให้แยกขาดออกจากนักเรียนอย่างชัดเจน ทั้งทางกายและความนึกคิด ตั้งแต่สิ่งเล็กน้อยอย่างห้องสุขา การไม่ต้องยืนตากแดดทุกเช้า ไปจนถึงการสร้างชุดความคิดฝังหัวผ่านพิธีการ ข้อควรปฏิบัติว่าด้วยคุณธรรมความกตัญญู บุญคุณ นำเสนอด้วยวิธีร่วมสมัย ทั้งบทกวี บทเพลง และเรื่องเล่า เป็นการผสานธรรมเนียมเก่าแก่เข้ากับสื่อบันเทิงสมัยใหม่ได้อย่างแนบเนียน
ด้วยเหตุนี้เอง ในสายตานักเรียน-ศิษย์ จึงมักมองครูอาจารย์เป็น “คนอื่นไกล” เพราะถูกกั้นแบ่งด้วยระยะห่างของชั้นชนและช่วงวัย ต้องยกมือทำความเคารพด้วยหน้าที่ ไม่ใช่ใจจริง แม้ครูหลายคนจะพยายามย่นระยะเส้นแบ่งนั้นให้เข้ามาใกล้ผู้เป็นศิษย์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพจำที่ฝังแน่นมายาวนานนับทศวรรษไม่อาจลบล้างไปได้โดยง่าย และเมื่อรู้ตัวอีกที ครูและศิษย์ก็ยืนอยู่ตรงข้ามกันด้วยระยะห่างและจุดยืนที่กว้างเกินกว่าจะเชื่อมเข้าหากันได้อีกต่อไป
ในทางกลับกัน การสร้างภาพความสูงส่งให้กับผู้เป็นครูนั้นก็ย้อนกลับมาทำร้ายและทำลายตัวตน ความนึกคิด และจิตใจของครูเองด้วยซ้ำ เพราะการผูกโยงบทบาทในอาชีพเข้ากับเกียรติและศักดิ์ศรีในหน้าที่ ศักดิ์และสิทธิของการเป็นเรือจ้าง-ผู้สั่งสอน ทำให้สังคมลืมความเป็นมนุษย์ของครูไปเสียสิ้น ลืมว่าครั้งหนึ่งครูก็เคยเป็นเด็กที่ลองผิดลองถูกกับชีวิต ลืมว่าครูก็มีความฝันและเป้าหมายของตน ลืมมองความเป็นครูด้วยสายตาแห่งความเป็นคน จนเป็นช่องโหว่ซึ่งทำให้ครูมากมายต้องแบกรับภาระหน้าที่เกินกว่าที่ควร ด้วยข้ออ้างเรื่องบุญคุณและหน้าที่อันยิ่งใหญ่ จนกัดกินทั้งกายและใจ ทำลายทั้งเยาว์วัยและฝันใฝ่ที่ยังหลงเหลือภายในผู้เป็นครูจนสูญสิ้น
แม้ความเข้มข้นของภาพจำนี้จะลดน้อยถอยลงในการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แต่บาดแผลที่สร้างความเป็นอื่นระหว่างศิษย์-อาจารย์ตลอดสิบสองปีในระบบการศึกษาไทยก็ยังตามมาหลอกหลอนทุกคนอยู่เนืองๆ ทำให้ศิษย์ผู้บาดเจ็บยังไม่อาจสลัดความทรงจำเลวร้ายจากอดีตทิ้งไปได้อย่างสมบูรณ์
ดังนั้นจึงถือเป็นโอกาสอันดีที่งานไหว้ครู 2568 (และทุกปีจากนี้ไป) จะเป็นช่วงเวลาไม่สั้นไม่ยาวแต่ทรงคุณค่า ที่เปิดพื้นที่ให้ศิษย์-อาจารย์ได้ถอดภาพจำที่สังคมสร้างเอาไว้ แล้วร่วมกันใช้เวลาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความทรงจำ และตกผลึกความคิดระหว่างกัน ไม่ใช่ในฐานะผู้ใหญ่กับเด็ก แต่ในฐานะเด็กจากวันนั้น (อาจารย์) และเด็กในวันนี้ (นิสิต)
ดังมนุษย์สองคนนั่งลงสนทนาอย่างเข้าใจกันในสนามเด็กเล่น
สนามอันเป็นสัญลักษณ์ของวัยเยาว์และความฝัน
สนามซึ่งจะเป็นที่ปลอดภัย ทางกาย ใจ ความคิด ความทรงจำ
ให้ทั้งศิษย์และอาจารย์มองเห็น พร้อมกับจดจำความเป็นมนุษย์ของกันและกันเอาไว้ต่อไป
จุดประกายความเป็นมนุษย์
เราขอใช้บทความนี้เป็นดั่งบทไหว้ครูในแบบของตนเอง ช่วยย้ำเตือนผู้อ่านทุกคนให้ระลึกถึงชีวิตของครูทุกคนที่ร่วงหล่นไปพร้อมอุดมการณ์ ระลึกถึงศิษย์ที่ถูกสร้างบาดแผลโดยระบบอันเน่าเฟะ พร้อมส่งกำลังใจถึงครู-ศิษย์อีกนับแสนที่ยังต่อสู้ดิ้นรนในระบบอันบิดเบี้ยวให้ผ่านพ้นไปถึงฝั่งฝันอย่างปลอดภัย
แม้สำหรับเรา การคืนความเป็นมนุษย์ให้กับครูและศิษย์อย่างถาวร ด้วยการเปลี่ยนแนวคิด ทำลายภาพจำ และสร้างความตระหนักรู้แก่สังคมอย่างต่อเนื่อง จะสำคัญกว่าการสร้างพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวให้ครูและศิษย์ได้เข้าใจกันและกันเพียงปีละครั้งในงานไหว้ครู แต่เป้าหมายยิ่งใหญ่คงเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากความสำเร็จเล็กๆ นี้ ความสำเร็จในการยืนยันว่า ศิษย์-อาจารย์ไม่ใช่ขั้วตรงข้าม ไม่ใช่คนสองชั้นชน หากแต่เป็นเพียงคนสองกลุ่มที่อยู่ร่วมกันในสังคม แบ่งปันโลก แบ่งปันช่วงเวลา แบ่งปันความฝัน และแบ่งปันความเป็นมนุษย์แก่กันได้จริง
โปรดอย่าลืมถนอมความเป็นมนุษย์ของครูและของคุณไว้นะ
เนื้อหา : สิรภพ พรอำนวยผล
พิสูจน์อักษร : นิชนันท์ ภาษยะวรรณ์ และ พศิน อาบสุวรรณ์
ภาพ : วอ.