ความรักของหญิงสาวและการถูกมองเป็นสัตว์ประหลาดในคาร์มีลลา

แม้นถูกรังเกียจเดียดฉันท์ ขอเพียงได้รักด้วยใจทั้งหมดที่มี

— ความรักของหญิงสาวและการถูกมองเป็นสัตว์ประหลาดใน คาร์มีลลา


“ตัวฉันเองมิอาจหักห้ามใจ ได้แต่ปล่อยให้เธอดึงดูดเข้าหา แต่เมื่อถึงคราวของเธอสักวัน เธอก็จักเป็นฝ่ายถูกผู้อื่นดึงดูด และจะได้สัมผัสถึงห้วงอารมณ์อันแสนทารุณนี้บ้าง ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วก็คือความรัก”


นับแต่วันที่ได้อ่านนวนิยายเรื่อง คาร์มีลลา ประโยคนี้ที่ตัวละครในเรื่องกล่าวก็ติดตรึงอยู่ในใจเสมอมา และทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า เหตุใดความรักจึงถูกพรรณาว่าเป็นความทารุณ ในเมื่อความรักควรจะเป็นสิ่งสวยงาม?


เมื่อกล่าวถึงความรัก เชื่อว่าทุกคนย่อมนึกถึงความสุขและความสบายใจ รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แม้บางครั้งอาจมีความเจ็บปวดและน้ำตาเข้ามาปนเป แต่นั่นก็เป็นเพียงหนึ่งในรสชาติที่หลากหลายของความรัก ถึงอย่างไรก็คงไม่มีใครออกปากเรียกความรักว่าเป็นความทุกข์ทรมานไปเสียทั้งหมด ความรักอันไร้ทุกข์แม้ฟังดูเป็นไปได้ยากแต่ก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับใครก็ตามที่ดวงใจสื่อถึงกันและพร้อมจะปรับตัวเองเข้าหาอีกฝ่าย แต่ความรักอันไร้ทุกข์ไม่อาจได้มาอย่างง่ายดายสำหรับคนรักร่วมเพศไม่ว่าต่างฝ่ายต่างรักกันมากเพียงใด เพราะความรักที่ไม่ตรงกับขนบของสังคมถือว่าเป็นสิ่งแปลกประหลาดหลุดกรอบที่สมควรถูกกำจัดทิ้งไป และรักเพียงอย่างเดียวไม่อาจคงอยู่ได้เมื่อต้องประสบกับเสียงต่อต้านของสังคมที่ยื่นนิ้วเข้ามาขีดเส้นกั้นว่าแบบไหนคือความรักที่ถูกต้องและแบบไหนคือความรักที่ผิด ด้วยเหตุนี้ความรักของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศจึงมักมาคู่กับความทุกข์ทรมาน


วรรณกรรมคลาสสิกชื่อดังอย่าง “คาร์มีลลา” ของ J. Sheridan Le Fanu ยกประเด็นความรักและความทารุณของกลุ่มคนหลากหลายทางเพศนี้ขึ้นมาเล่าได้อย่างน่าสนใจผ่านการนำเสนอความรักระหว่างผู้หญิงคนหนึ่งและผู้หญิงอีกคนที่ถูกตีตราว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในสังคม แต่แทนที่ผู้เขียนจะกล่าวออกมาโดยตรงว่าสังคมไม่ยอมรับเธอเพราะเพศวิถีของเธอ เขากลับเลือกวางให้เธอเป็นแวมไพร์ซึ่งถือเป็นสัตว์ประหลาดที่นำพาความอันตรายเข้ามาสู่สังคมและคนรอบข้างจึงต้องถูกกำจัดทิ้ง ผู้เขียนเลือกจะเปรียบความรักที่ผิดขนบเป็นสัตว์ประหลาด ไม่ใช่เพื่อต่อว่าหรือเหยียดหยามความรักนี้แต่เพื่อตั้งคำถามกับสังคมว่าเหตุผลที่พวกเขาผลักคนบางกลุ่มออกไปเป็นเพราะคนเหล่านั้นทำผิด ทำร้ายพวกเขา หรือเพราะคนเหล่านั้นแค่แตกต่างออกไปไม่อยู่ในกรอบที่พวกเขาวาดไว้เท่านั้น


นวนิยายเรื่อง คาร์มีลลา เล่าถึง “คาร์มีลลา” หญิงสาวที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างปริศนา ณ คฤหาสน์ที่ “ลอว์ร่า” และคุณพ่ออาศัยอยู่ การมาถึงของเธอนำมาซึ่งเรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย ทั้งเด็กสาวในหมู่บ้านใกล้เคียงที่ล้มป่วยและตายจาก ทั้งตัวลอว์ร่าเองที่เผชิญกับฝันร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าและมีอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปราวกับเธอกลายเป็น “เหมือน” คาร์มีลลา คาร์มีลลาถูกบรรยายว่าเป็นคนสวย ลึกลับ และมีกิริยาท่าทางคำพูดคำจาแปลกพิกล เธอมีหน้าตาหม่นหมองและท่าทางซึมเซาเหมือนคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และที่สำคัญคือเธอไม่ยอมเล่าเรื่องราวของตัวเองหรือครอบครัวแม้แต่นิดเดียว กระนั้นเธอก็มีเสน่ห์อันน่าพิศวงที่ทำให้ลอว์ร่าหลงรักในช่วงเวลาที่ทั้งคู่ใช้ร่วมกัน ส่วนเธอเองก็ตกหลุมรักลอว์ร่าด้วยเช่นกัน


ความน่าฉงนของคาร์มีลลาคือนอกจากจะไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของเธอแล้ว ใบหน้าของเธอยังเป็นคนเดียวกับที่ลอว์ร่าเคยเห็นในฝันร้ายเมื่อเยาว์วัยคืนหนึ่ง ลอว์ร่าฝันว่ามีหญิงสาวเข้ามาในห้องและกอดประโลมเธอ แต่ทันใดนั้นเธอกลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดทิ่มแทงข้างในอกจนต้องกรีดร้องออกมาทำให้ผู้คนกรูกันเข้ามาหา ส่วนหญิงสาวคนนั้นก็หายไป แต่ใบหน้าของหญิงสาวตามหลอกหลอนเธอเรื่อยมานับทศวรรษ แม้เรื่องเล่านี้ฟังดูเหมือนฝันบอกเหตุว่าลอว์ร่าจะถูกแวมไพร์ทำร้ายเข้าสักวันหนึ่ง แต่หากลองพลิกมุมมองดู ฝันนี้อาจกำลังเล่าถึงความรักต้องห้ามที่ลอว์ร่ากำลังจะต้องเผชิญ


ประการแรกคือคาร์มีลลาจะเข้ามาในชีวิตของลอว์ร่าโดยไม่ทันตั้งตัวและมอบความรัก ความอบอุ่นให้กับเธอ และตัวลอว์ร่าเองจะยอมรับมันอย่างเต็มใจ ปล่อยให้ความรักนั้นโอบกอดเธอเอาไว้ แม้จะตั้งคำถามว่าสิ่งนี้คืออะไรและถูกต้องแล้วหรือที่เธอจะปล่อยให้มันเกิดขึ้น ความคิดนี้สื่อถึงตัวเธอที่เพิ่งได้รู้จักกับความรักที่ไม่เหมือนกับคนอื่นในสังคม และเริ่มเรียนรู้และยอมรับในเพศวิถีของตัวเองแม้จะยังเคลือบแคลงก็ตาม ประการที่สองคือความรักของคาร์มีลลาจะทำร้ายเธอ จากที่เคยโอบกอดกลายเป็นรั้วที่ล้อมเธอไว้ แบ่งแยกเธอออกจากสังคม และกลายเป็นหนามทิ่มแทงที่จะทิ้งร่องรอยไว้บนตัวเธอไปตลอด ทำให้เธอไม่เหมือนกับคนอื่น นอกเสียจากเธอจะซ่อนมันเอาไว้ รอยนั้นมิใช่คมเขี้ยวของแวมไพร์แต่คือหลักฐานความรักของเธอกับหญิงเพศเดียวกัน ซึ่งเป็นความจริงที่จะตราหน้าเธอไปตลอดว่าเธอแปลกแยกจากสังคม เธอจึงต้องเก็บซ่อนความรักของเธอเอาไว้ ทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้เธออยู่ในสังคมต่อไปได้ ประการสุดท้ายคือลอว์ร่าจะไม่ได้รู้สึกแปลกแยกหรือรังเกียจร่องรอยเหล่านี้ที่คาร์มีลลาทิ้งไว้เลยจนกระทั่งผู้อื่นเข้ามาทำให้เธอรู้สึกเช่นนั้น เหมือนที่ในความฝันคาร์มีลลาหายไปเมื่อคนอื่นเข้ามา ในความจริงคาร์มีลลาก็หายไปเช่นกันเพราะสังคมกำจัดเธอทิ้ง แม้ลอว์ร่าจะรักเธอมากเพียงใดแต่เมื่อมีเสียงของสังคมเข้ามาแทรก มันทำให้เธอตกใจกลัวเสียจนปล่อยคาร์มีลลาหลุดลอยไปพร้อมความรักและตัวตนส่วนหนึ่งของเธอเอง สิ่งเหล่านี้ตามบริบทของเรื่องหมายถึงการที่เธอเกือบจะถูกเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ แต่ในอีกแง่หนึ่งหมายถึงการที่เธอเกือบจะตระหนักถึงเพศวิถีของตนเองแต่ถูกบังคับให้ต้องปกปิดมันเอาไว้ และนั่นทำให้ใบหน้าและทุกสิ่งที่เป็นคาร์มีลลาตามหลอกหลอนลอว์ร่าไปตลอดกาล ไม่ใช่เพราะความกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เพราะเป็นความรักที่ไม่อาจสมหวังได้


ในขณะเดียวกัน ผู้เขียนบรรยายความรักที่คาร์มีลลามีต่อลอว์ร่าว่าเธอรักและเทิดทูนลอว์ร่าเหลือคณาจนบางครั้งดูเหมือนอยากครอบครองเธอทั้งหมด มีสิ่งหนึ่งที่คาร์มีลลามักจะพูดกับลอว์ร่าอยู่เสมอก็คือ ความรักทำให้เธอเห็นแก่ตัว และวันหนึ่งเมื่อลอว์ร่ารู้ความจริงเกี่ยวกับตัวเธอแล้ว ไม่ว่าจะรักหรือเกลียดชังเธอก็ขอให้อยู่ด้วยกันตลอดไป


“แต่ตอนนี้จวนถึงเวลาที่เธอจะได้รู้ทุกอย่างแล้ว เธออาจคิดว่าฉันใจดำและเห็นแก่ตัว แต่คนมีรักนั้นเห็นแก่ตัวเสมอ ยิ่งรักแรงกล้าเท่าใด ก็ยิ่งเห็นแก่ตัวเท่านั้น ฉันหึงหวงเพียงใดนั้นเธอไม่อาจรู้ได้ เธอจงมากับฉันและรักฉันไปตราบสิ้นชีวา หรือต่อให้ชิงชังฉัน ก็จงมากับฉันอยู่ดี และจงเกลียดจงชังฉันไปตราบจนสิ้นลม จวบจนถึงภพหน้า”


หากตีความคำพูดของคาร์มีลลาไปตามเนื้อเรื่องอาจมองว่าเธอกล่าวเช่นนี้เพราะเธอเป็นแวมไพร์ที่เข้าหาลอว์ร่าเพียงเพราะต้องการใช้ประโยชน์จากเธอ ล่อลวงให้เธอหลงใหลเพื่อจะได้ลิ้มรสเลือดของเธอ เป็นคนเห็นแก่ตัวที่น่ารังเกียจ แต่หากเราลองมองความสัมพันธ์ของสองคนนี้ในอีกมุมหนึ่ง ความเห็นแก่ตัวของคาร์มีลลานั้นอาจไม่ได้เกิดจากความต้องการสูบเลือดเนื้อของลอว์ร่า แต่หมายถึงการที่เธอรักลอว์ร่าและทำให้ลอว์ร่าต้องทำผิดขนบของสังคมไปด้วยเพราะเข้ามาอยู่ในความสัมพันธ์หญิงรักหญิงกับเธอต่างหาก เธอกำลังโทษตัวเองที่ทำให้ลอว์ร่าต้องแปดเปื้อนเพราะความรักผิดมนุษย์ของเธอ หากคาร์มีลลาไม่ปรากฏตัว หากเธอไม่มอบความรักให้ และหากลอว์ร่าไม่ตกหลุมรัก ลอว์ร่าก็คงสามารถใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุขต่อไป แม้คาร์มีลลาจะรู้ดีว่าความรักของตัวเองจะทำให้สังคมรังเกียจพวกเธอทั้งคู่ แต่ถึงกระนั้นเธอก็เห็นแก่ตัวเกินกว่าจะปล่อยความรักนี้และปล่อยลอว์ร่าไปให้เป็นอิสระจากคำติฉินนินทาและสายตารังเกียจของสังคม ดังที่เธอกล่าวว่ายิ่งรักมากเท่าใดก็ยิ่งเห็นแก่ตัวมากเท่านั้น


อีกทั้งคำกล่าวที่ว่าไม่ว่าลอว์ร่าจะรักหรือเกลียดชังเธอก็ขอให้อยู่ด้วยกันตลอดไป อาจไม่ได้หมายถึงคาร์มีลลาที่อยากจะครอบครองลอว์ร่าหรือฝืนใจลอว์ร่าให้รักเธอกลับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ว่าความจริงเธอเป็นใคร แต่หมายถึงคาร์มีลลากำลังเปรียบตัวเองเป็น “ความแปลกแยก” หรือ “ตัวแทนความสัมพันธ์หญิงรักหญิง” อยู่ ในที่นี้คำพูดของคาร์มีลลาที่บอกให้ลอว์ร่ารักเธอและไปกับเธอจึงสื่อว่าคาร์มีลลาอยากให้ลอว์ร่ายอมรับความรู้สึกของตัวเองที่รักเพศเดียวกัน ไม่พยายามปิดบังความรู้สึกนั้น ใช้ชีวิตอยู่กับเพศวิถีนี้ของเธอไปตลอดโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด และรักคาร์มีลลาต่อไปโดยยอมเป็นตัวประหลาดของสังคมไปด้วย ในทางตรงกันข้าม ลอว์ร่าอาจเกลียดความรักของตัวเองที่แตกต่างไปจากสังคมและไม่อยากยอมรับเพศวิถีของตนเอง แต่ความรู้สึกที่ลอว์ร่ามี ณ ตอนนั้นก็จะยังคงไม่หายไปและยากจะลืมเลือน ดังที่คาร์มีลลาพูดว่าต่อให้ชิงชังก็ให้มากับเธออยู่ดี ซึ่งในเรื่องก็วางให้ความรู้สึกนึกคิดของลอว์ร่าถูกพรรณาออกมาผ่านการที่คาร์มีลลาเปลี่ยนลอว์ร่าเป็นแวมไพร์ และการตัดสินใจของลอว์ร่าว่าจะยอมเป็นแวมไพร์ไปด้วยหรือจะชะล้างตัวเองให้บริสุทธิ์และปล่อยให้คาร์มีลลาถูกกำจัดก็คือความสับสนในเพศวิถีและตัวตนของลอว์ร่านั่นเอง และสุดท้ายด้วยแรงกดดันและความเชื่อที่ถูกปลูกฝังโดยสังคมว่าแวมไพร์ที่เป็นสัญญะของคนรักร่วมเพศในบริบทนี้เป็นสัตว์ประหลาดอันตรายก็ส่งผลให้ลอว์ร่าปฏิเสธความรู้สึกของตัวเอง ปล่อยให้คาร์มีลลาถูกกำจัด และปล่อยให้สังคมเข้ามารักษาเธอให้หายดีจาก “อาการประหลาด” นี้


แต่ไม่ว่าลอว์ร่าจะรู้สึกอย่างไร จะเกลียดหรือจะรักส่วนนี้ของตัวเองที่สังคมมองว่าบิดเบี้ยว คาร์มีลลาก็หวังเพียงแค่ลอว์ร่าจะไม่มีวันลืมความรักอันเปี่ยมล้นที่เธอมอบให้ และจะจดจำความสุขที่ครั้งหนึ่งลอว์ร่าได้ปล่อยให้ตัวเองเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ไว้โดยไม่สนใจว่าสังคมจะมองตัวเองอย่างไร แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม ก่อนที่กรอบของสังคมจะกลับเข้ามามีบทบาทในความคิดและจำกัดชีวิตของเธอ ซึ่งแน่นอนว่าความหวังของคาร์มีลลาก็เป็นจริง เพราะแม้เวลาจะผ่านไปยาวนานเท่าใด ความทรงจำเกี่ยวกับคาร์มีลลาก็ยังตามหลอกหลอนลอว์ร่าทั้งในยามฝันและยามตื่น ทำให้เธอต้องหวนนึกถึงอยู่ร่ำไปและอาจนั่งสงสัยอยู่บางครั้งว่าการตัดสินใจในวันนั้นของเธอทำให้เธอมีความสุขจริงหรือไม่ หรือมันทำให้เธอสูญเสียส่วนหนึ่งที่ดีที่สุดในชีวิตไปที่ไม่ว่าเธอจะคิดถึงเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหวนกลับมา


“และบ่อยครั้งที่ฉันสะดุ้งจากภวังค์เคลิ้ม ด้วยรู้สึกคลับคล้ายว่าได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบาของคาร์มีลลาแว่วมาจากทางประตูห้องนั่งเล่น”


สุดท้ายแล้วหากลองปรับเปลี่ยนคำพูดของคาร์มีลลาก่อนหน้านี้ที่กล่าวถึงความเป็นสัตว์ประหลาดของตัวเองให้สื่อถึงความทุกข์ทรมานของความรักร่วมเพศแทนก็อาจเป็นได้ว่า “ไม่ว่าเธอจะรักหรือเกลียดตัวเองที่รักผู้หญิงด้วยกัน แม้ว่าเธอจะอยากลบความเป็นหญิงรักร่วมเพศที่ทำให้เธอต้องไม่เหมือนคนอื่นออกไป หรือแม้แต่จะอยากลืมฉันที่ทำให้เธอต้องรู้จักกับความรักที่ไม่อาจถูกยอมรับได้ ฉันก็ขอให้ความรักระหว่างเราคงอยู่กับเธอตลอดไป ความรู้สึกของเธอต่อรักนี้จะเป็นเช่นไรก็สุดแล้วแต่เธอ”


คาร์มีลลาไม่ได้แปลกแยกเพราะเป็นแวมไพร์และไม่ได้ถูกกำจัดเพราะจะมาฆ่าคนอื่น แต่เธอแปลกแยกเพราะเป็นหญิงรักร่วมเพศและถูกกำจัดเพราะสังคมยอมรับตัวตนของเธอที่ผิดไปจากขนบไม่ได้ กลัวว่าเธอจะทำให้ผู้หญิงคนอื่นกลายเป็นเหมือนเธอ เหมือนกับที่เธอทำกับลอว์ร่า ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งเดียวที่คาร์มีลลาทำคือการรักลอว์ร่าเท่าที่คนคนหนึ่งจะรักได้เพียงเท่านั้น


อ้างอิง

โจเซฟ ช.เลอฟานู,  คาร์มีลลา (Carmilla), แปลโดย เพียงออ พัชรสรวุฒิ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์วรรข, 2565)


เนื้อหา : วรัญลภัส

พิสูจน์อักษร : Wanwan_29 และ ปีหยัน

ภาพ : นอจอ