ตุ๊ดตัวแม่ข้ามเวลามาแพ้เด็กช่างทรงติ๋มปี 2529

ตุ๊ดตัวแม่ข้ามเวลามาแพ้เด็กช่างทรงติ๋มปี 2529


“เนื่องจากมีผู้สั่งจอง ‘ชุดท่องเวลาเอ็กซ์เพรสหกแปด’ เป็นจำนวนมากในขณะนี้ หากขั้นตอนการจัดหาผู้ส่องทางและที่พักพิงจากด้านรัตนโกสินทร์ตอนต้นเสร็จสิ้นแล้ว ทางบริษัทจะดำเนินการแจ้งรายละเอียดกลับโดยเร็วที่สุด ขอขอบพระคุณสำหรับความไว้วางใจต่อกาสรทามทราเวลค่ะ”


กรุงเทพมหานคร, พฤษภาคม 2568

ประตูอัตโนมัติตัดแถวเบี้ยวคดให้หดเร็วสุดกำลัง แต่ไอร้อนซึ่งเกาะเม็ดเหงื่อตามต้นคอกลับแหย่เย้าจนคนล้วนหลอนเป็นภาพอ้อยอิ่งชวนรำคาญ ปลายนิ้วชื้นกับดวงใจล่องลอยปล่อยบัตรกระต่ายไหลหลุดครูดปูนหิน กระทำเอา “ขอบฟ้า” ถอนใจแรงก่อนจะรีบย่อลงเก็บ หวังให้ทันฝีเท้าหญิงชราด้านหน้าผู้ค่อยๆ ก้าวพ้นเครื่องสีเงินไป

ทว่าฉับพลันตอนโผล่หน้าพ้นแนวกั้น ปลายรองเท้าของใครสักคนก็เสยคางหล่อนหงายหลังหัวปักพื้น ภาพในตาสลับสับสีและมืดวาบตัดเสียงอื้ออึงที่ล้อมรอบข้าง ไม่แน่ใจนักว่าเพราะยาคุมที่หยุดกินไปสองปีก่อน หรือเพราะหลอนสารในน้ำยาทาสีเล็บ แต่ปิดเปลือกตาให้สมองได้จัดระบบตัวเองสักนาทีก็คงไม่เสียหาย…

…เว้นเสียแต่จะลืมตามาเจอหนุ่มตี๋แปลกหน้าชะโงกหัวเฝ้าตนอยู่


2529 ตุลาคม 10, พิษณุโลก

“สวัสดีครับ ผมชื่อซ้ง ผู้ส่องทางฉุกเฉินรหัสหนึ่งแปดหนึ่งศูนย์ของคุณธามวัตจากปีสองเก้าครับ” เอกธนัชกล่าวก่อนดึงร่างกลับไปนั่งหลังตรงข้างขอบฟูก รอยแดงบนท้ายทอยถูกเกาย้ำครั้นพยายามกดความประหม่าไว้ “ระบบของกาสรผิดพลาด และอยู่ในระหว่างการแก้ไข ทำให้คุณต้องพักอยู่ที่นี่ชั่วคราวครับ” หางเสียงยวบอ่อนคล้ายเห็นอกเห็นใจเพื่อนใหม่ใต้ผ้าห่ม

ธามวัตขมวดคิ้วแน่นกลางหน้าผาก ความปวดปลาบยังถ่วงหัวหนักให้วางไว้แนบหมอน ส่วนเสียงต่ำนุ่มของใครก็ตามที่รีบยัดทุกคำในลมหายใจเดียวกันนั้นคอยเซ้าซี้ใคร่ถ่างโสตประสาทจนสุดท้ายก็พิชิตหล่อนสิ้น สติซึ่งตื่นตามสัญชาติญาณเริ่มสั่งให้กวาดตาสำรวจห้อง


‘แม้เราไกลห่างกัน จากกันฉันและเธอเข้าใจ…’


เสียงดนตรีจังหวะช้าย้อมสีฉากเบื้องหน้าจนผนังไม้ซึ่งเรียงซ้อนดูสิ้นคราบชวนระแวง บางทีอาจจะเคลือบเงาไว้แขวนกีตาร์ตัวนั้นด้วยเหมือนกัน แต่ด้วยสัตย์ หล่อนไม่คิดจะใช้เวลาเพ่งมองบ้านคนอื่นยามไร้กำลังจะป้องกันตัวมากขนาดนั้น

“ช่วยยืนยันรหัสฉุกเฉินของคุณทีได้ไหมครับ บริษัทจะได้ปลดล็อกข้อมูลจำเป็นของคุณให้ผมครับ” วัตถุทรงสี่เหลี่ยมบางและเล็กขยับมาจ่ออยู่ใกล้ปาก ธามวัตเปล่งเสียงแหบเบายืนยันตัว เปลือกตาเริ่มกะพริบตามแสงน้อยๆ บนจอนั่น “แจ่มเลย ตอนนี้คุณอยู่ที่บ้านของผมเอง คุณข้ามมาตอนพวกเด็กช่างอีกสถาบันเขามีเรื่องกันพอดี ผมคิดว่าคุณคงโดนตีหัวเอาเข้าให้ อย่าเพิ่งทำอะไรปุบปับนะ”

จริงด้วย…เจ้าของปลายรองเท้าผู้เสยยอดหน้าเขาใส่เสื้อช็อปสีฟ้าเรืองแสง อาจเป็นนักเรียนอาชีวะสักสถาบัน แต่หากข้ามเวลามาแล้วยังซวยไปโผล่กลางวงให้โดนลูกหลงซ้ำอีกรอบ ก็คงต้องยอมรับว่าดาวพุธดูจะถอยหลังในพื้นดวงหล่อนเยอะไปเสียหน่อยจริงๆ

“หม่าม้า! คุณเขาตื่นแล้ว”

“เอ้อ! ตี๋รีบลงมาเอาเร็ว ประเดี๋ยวมันจะหายร้อนเข้า” เอกธนัชเหยียบเท้าหนึ่งพ้นกรอบประตูไปแต่ชะงักก่อน “แล้วบอกให้เบาเสียงวิทยุบ้าง ถ้ามันเบาได้แค่นั้นก็โยนทิ้งไปซะ เอ้า ป๊ามึงเตรียมซื้อเครื่องใหม่ให้ลูก”

บางทีสมองเขาอาจเคลื่อนจากแรงกระเทือนมากกว่าคาด เพราะรู้ตัวอีกหน ธามวัตก็กำลังนั่งเผชิญหน้าเอกธนัชฝั่งตรงข้าม โดยมีถ้วยข้าวต้มบนโต๊ะญี่ปุ่นลายตารางแม่สูตรคูณตั้งกั้นอยู่


‘ข้าวต้มก็หอมดี แต่จะไว้ใจพ่อหนุ่มตี๋หน้าใสนี่ได้สักแค่ไหนกันเชียว’


“คุณเป็นผู้ข้ามกาลคนแรกในการดูแลผมเลย ถ้าผมทำอะไรผิดพลาดไปบอกผมได้เลยนะ อย่าเพิ่งฟ้องกาสรเลย ผมอยากเก็บเงินซื้อเทปน่ะ”

‘ติ๋ม’ คือความคิดแรกที่ผุดพ้นจิตอันเคยตะขิดตะขวงต่ออีกฝ่าย ผิวขาวเนียนไร้รอยพร้อย รองทรงสูงได้ทรงยิ่งขับภาพลักษณ์ของผู้ส่องทางในเสื้อยืดสีน้ำตาลเบื้องหน้าให้ดูปราศจากพิษภัย นัยน์ตานั้นใสจนแทบสะท้อนเห็นทุกประโยคซึ่งไหลผ่านหัวเขา สุดท้ายหล่อนก็ยอมตักข้าวต้มแสนจืดชืดเข้าปากไปเงียบๆ 

“อีกเดี๋ยวผมต้องออกไปทำการบ้านที่บ้านเพื่อนนะ ถ้าคุณอยากได้อะไรบอกผมไว้ได้เลย” 

“เธออายุเท่าไร”

“สิบเก้าครับ”

“เราเป็นน้อง” วางช้อนแล้วจ้องนายติ๋มนิ่งๆ ขณะเคี้ยว “พี่ซ้งเรียนอะไรอยู่”

“ก่อสร้าง ปอวอชอปีสามน่ะ” คำตอบนั้นดูจะพลิ้วตามปลายผม ซึ่งไหวระริกจากการโยกตามจังหวะเพลงใหม่ผ่านวิทยุ “นี่ ผมถามบ้างได้ไหม ทำไมคุณถึงแต่งสีเล็บเหรอ” เขายกแขนขึ้นเท้าคาง

ธามวัตไล่สายตาตามอีกฝ่ายลงไปถึงปลายมือ เล็บเจลสีชมพูโฮโลแกรมพร้อมอะไหล่คิตตี้ครบสิบนิ้วกำลังเล่นแสงน่าหมั่นไส้ “...เริ่มทำเพราะเบื่อล่ะมัง รู้ตัวอีกทีก็ติดไปแล้ว” หล่อนเห็นสายตาอันมีข้อคิดเห็นนับไม่ถ้วนในใจของคนพี่ นายพี่ติ๋มผู้ทำเพียงพยักหน้าเบาๆ และไม่เปิดปากเอื้อนเอ่ยอะไรอีก “ถามได้ ไม่ฟ้องกาสรหรอก”

แม้นดูอลักเอลื่อ แต่ก็กล้าถามออกมาเสียงค่อย “คุณธามวัตไม่กลัวคนมองว่าเป็นแต๋วเหรอ”

“กลัวทำไม ก็เป็นจริงๆ นี่” หล่อนสวนควันกลับไปหน้าตาเฉยโดยไม่นึกยี่หระ มองคนตรงข้ามหันรีหันขวางแล้วก็แทรกถามกลับ “ทำไม พี่ซ้งไม่ชอบตุ๊ดเหรอ”

เรือนผมดำขลับขยับถี่ตามแรงส่ายแล้วอีกครั้ง “ไม่ครับๆ ๆ คือ–เอ่อ…”

“เข้าใจว่ายุคนี้เขาคงยังไม่กล้าแสดงออกกันขนาดนั้น แล้วคนอื่นที่ข้ามมาเที่ยวไม่มีออกสาวแบบเราบ้างเลยเหรอ”

เจ้าบ้านระลึกพลางขมวดคิ้วตอบ “ก็…เห็นบ้างครับ แต่ส่วนมากเห็นอย่างที่แต่งตัวเหมือนผู้หญิงเด๊ะๆ ไม่เคยเห็นแบบ–”

“–แต๋วตัวแม่หัวโปก เพราะงี้แฟนเก่ามันเลยทิ้งไปคบไอ้พวกเกย์กึงละมั้ง จึ้งสะบัดเลยเป็นไงล่ะ”

กรามคมแทบหล่นลงติดโต๊ะ “ผมไม่เข้าใจ”

“ถ้าอธิบายแบบหยาบๆ พี่ซ้งคงรู้จักเกย์อยู่แล้ว แต่ยุคเรา คำว่าเกย์มันกว้างมาก แปะคำว่ากึงเข้าไปไว้อธิบายผู้ชายที่ชอบผู้ชาย แล้วแอ็กให้เหมือนผู้ชายที่ชอบผู้หญิงน่ะ ไม่ตุ้งติ้งเหมือนเรา”

“แล้ว…คนชื่อจึ้งต้องสะบัดทำไมครับ”

เม็ดข้าวนิ่มๆ ที่กำลังไหลลงคอแทบพุ่งย้อนออกจมูกของคนน้อง “...ถ้าให้นั่งแปลคงยาว เอาเป็นว่า มันคือคำสร้อยเพิ่มอรรถรสน่ะ”


‘เด็กช่างเหรอ…ถึงจะดูติ๋มแต่ก็คงเป็นชายแท้ ไม่เอาใจลงไปเล่นด้วยหรอก หรือถ้าเป็นพวกเกย์กึงนี่ก็คงแย่เข้าไปใหญ่ อีกอย่าง เราคงไม่ได้อยู่ที่นี่นานขนาดนั้น–ยายกาสร ฉันกลับไปได้หล่อนโดนฟ้องแน่–โอเค มองหน้าเฉยๆ พอ’


“เราไปบ้านเพื่อนพี่ด้วยได้ไหม อยู่นี่ไม่รู้จะทำอะไร”

ผู้ส่องทางเบิกตาโตด้วยอาการยินดียิ่ง “ได้ครับ ได้เลย” แทบเก็บความตื่นเต้นในน้ำเสียงไว้ไม่อยู่

“แล้วก็ เราชื่อขอบฟ้า ช่วยเรียกอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่คุณ รู้สึกแปลกๆ ต้องให้คนอายุมากกว่ามาทำงี้”

รอยยิ้มของนายติ๋มคลี่ขึ้นประดับดวงหน้าคม “ครับ น้องฟ้า”


‘ฟ้า มึงคิดอีกรอบ มันดี มันดี แต่ว่าคิดอีกรอบไหม’


เอกธนัชจอดจักรยานรวมไว้กับเพื่อนๆ โดยไม่คิดล้ออาการแข็งเกร็งราวเด็กเพิ่งเคยหัดซ้อนจักรยานครั้งแรกของคนน้อง เมื่อถือวิสาสะย่างเข้ารั้วบ้านไปด้วยความสนิทสนมแล้ว เสียงทักทายของ “เพื่อนหมู” ก็ตะโกนสวนออกมาต้อนรับอย่างไม่รีรอ

“มาซะป่านนี้ มึงเอาของพวกกูไปลอกเลยไหมไอ้ลูกเจ๊ก”

“เออโทษที พอดีมีเรื่องกะทันหันนิดหน่อย”

“ปัดโธ่ อะไรจะสำคัญกว่าไม้เรียวสมชายวะ”

“นักข้ามกาลคนแรกของกูเอง”

เสียงดินสอและลมหายใจเงียบชะงักไปทันทีผิดวิสัย ธามวัตผู้เพิ่งเดินตามหลังมาคล้ายใคร่เลียบเคียงสถานการณ์ค่อยๆ ก้าวจนพ้นแนวกำบังของไหล่กว้าง เห็นสายตาสามคู่ซึ่งล้อมโต๊ะไม้ขัดเงาตัวใหญ่อยู่นั้นกำลังเขม้นพินิจทุกกระเบียดในตัวหล่อนแล้วก็ต้องลอบกลืนน้ำลาย

“เราขอบฟ้านะ หลงมาจากปีหกแปด ฝากตัวด้วยนะพี่ๆ เพื่อนพี่ซ้ง” หญิงหนึ่งเดียวในนั้นแย้มยิ้มกว้างให้ธามวัตเป็นคนแรก ก่อนจะให้หน้าเพื่อนทั้งสองทักทายรุ่นน้องผู้มาเยือน

“แสดงว่ารวยมากเลยอะดิ” เกดถอนหายใจหนักตอนได้ยินเพื่อนตาฟ้าสุดที่รักถามอะไรสิ้นคิด แถมหมูก็ดูจะไม่ช่วยแก้บรรยากาศให้เท่าไรด้วย

“มีต้นทุนดีก็ดีแล้ว แถมคงจะเรียนปอตรีด้วยใช่ไหม โคตรเจ๋ง เห็นแล้วมีแรงแก้แบบต่อเลยว่ะ”

เอกธนัชดึงเก้าอี้มาวางให้คนน้องก่อนทรุดตัวนั่งลงข้างกัน กระทั่งระหว่างเริ่มหยิบอุปกรณ์ขึ้นเตรียมทำงานอย่างจริงจัง เสียงพูดคุยของกลุ่มเพื่อนก็ยังไม่ยักขาดกระแส “เออ เมื่อคืนที่พวกไอ้ศักดิ์มันตีกับไอ้ไก่ มึงรู้ไหมเพราะอะไร แม่งแย่งกันจีบน้องหมวย ไอ้ฉิบหาย กูเกือบได้อดไปงานคาราบาวเดือนหน้า”

“เออ ตอนมอต้นก็เรียนห้องเดียวกันมาแท้ๆ นะนั่น”

“ก็แม่งไม่ได้เรียนโรงเรียนเดียวกันมาเหมือนวิท’ลัยเราไง แต่กูรำคาญเพราะแม่งทำให้คนนอกมองเราไม่ดีมากกว่า”

“เมื่อคืนแม่กูถือไม้แขวนรอแล้ว คิดว่าเป็นกูอีกแน่ๆ ดีนะสมชายให้จดหมายยืนยันมาว่าไปช่วยงาน”

“เออ ป้ากูก็เหมือนกัน ยิ่งโดนด่าว่ามีหลานเป็นพวกชอบต่อยตียิ่งเข้ม อย่างเดียวที่กูตีคือยุงด้วยซ้ำ"

ธามวัตคอยต่อบทสนทนาหลังจากนั้นตามมารยาท แต่รู้สึกดีที่เพื่อนนายติ๋มไม่ปล่อยให้หล่อนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอก

ส่วนคุณพี่ซ้งกลับเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำการบ้านของตัวเอง คนน้องคิดว่าอาจจะดีแล้ว ความย้อนแย้งบางประการใต้อกจะได้ผ่อนเบาลงบ้าง หล่อนรู้สึกชื่นชมนิสัยและความรู้สึกที่อีกฝ่ายส่งผ่าน แต่เสี้ยวหนึ่งก็นึกเฉลียวต่อระลอกอารมณ์คมแหลมในร่างกาย

“อ้อ ที่นัดกินเหล้ากันวันนี้กูขอเบี้ยวก่อนนะ ขออนุญาตไปดูแลฟ้าก่อน”

เกือบสะดุ้งออกภวังค์ด้วยน้ำเสียงแสนอ่อนโยนผ่านการอ้างถึงสั้นๆ นั้น คงต้องเริ่มคิดอย่างจริงจังแล้วว่า ‘ไอ้คุณพี่ซ้งนี่ติ๋มแท้หรือเทียมแน่’

“แล้วตอนนี้มึงเอาไง นู่น ฝนตั้งเค้ามาแล้วนู่น งานเปียกสมชายเอาตายนะ”

เอกธนัชมองเมฆครึ้มนอกหน้าต่างด้วยท่าทีขึงขังอยู่ครู่หนึ่ง “งั้นฝากแบบกูไปด้วย เดี๋ยวกูไปส่งฟ้าไว้กับแม่ก่อน” พูดพลางหันกลับมาสบตาคนน้อง “ยังไง ‘จารย์ก็ไม่ยอมให้เราเข้าไปนั่งในห้องหรอก แล้วถ้าฝนตกขึ้นมาก็เปียกเราตอนกลับอีก นอนพักแผลรอพี่แป๊บเดียว ได้ไหมครับ”

“โอเคได้เลย”


2529 ตุลาคม 18, พิษณุโลก

ธามวัตทิ้งร่างลงฟูกซึ่งคุ้นชินจนแทบรู้สึกเป็นเตียงตนก่อนถอนใจ สำรวจเสื้อผ้าบนตัวที่ไม่เคยคิดว่าจะหยิบมาใส่ แต่ยอมใส่เพราะพี่ซ้งเลือกให้แล้วก็หลุดหัวเราะเบาๆ “พี่บอกวันนี้จะอวดเทปกับหนังสือที่สะสมไว้ไม่ใช่เหรอ เราเริ่มเบื่อแล้ว”

ร่างสูงหย่อนกระเป๋าทิ้งไว้จุดเดิมก่อนคุกเข่าลงหน้าชั้นวางของปลายเตียงเขา ปลายนิ้วแตะสัมผัสทุกมุมกล่อง พินิจพิจารณาของสะสมที่คงจะสร้างความประทับใจให้นักข้ามกาลของตนมากที่สุด แต่ความเงียบอันเบียดเสียดอยู่ดูจะเปลือยเสียงตึกตักใต้ทรวงผู้ส่องทางคนนี้มากเกินไปเสียหน่อย

“อืม ปีหกแปดเขายังฟังคาราบาวกันอยู่ไหม”

“เท่าที่รู้ก็ ไม่ค่อยแล้วนะ”

“โห สำหรับเด็กช่างนะ คาราบาวอะ ที่สุดแล้ว” สายตาผิดหวังจนคล้ายแผ่นหูหลุบลู่ดันมุมปากคนตัวเล็กขึ้นเบาๆ

“แต่เราแทบไม่เห็นพี่ซ้งหยิบเทปคาราบาวมาเปิดเลยนี่ ได้ยินแต่จากวิทยุ”

ปลายนิ้วหยุดกึกอยู่ที่เทปตลับหนึ่ง “ฟังบ่อยแล้ว เบื่อ จริงๆ พี่ชอบดิอินโนเซ้นท์ หรืออ๊อด คีรีบูนมากกว่านิดหน่อย”

“เพลงพวกหนุ่มนักรักงี้เหรอ” 

รอยยิ้มคนน้องกว้างขึ้นอีกตอนนายติ๋มของเขาก้มหน้าซ่อนแก้มแดงๆ นั่น “แต่ก็ไม่เคยมีแฟนหรอก” และผลร้ายของความเงียบก็เล่นงานเขาเข้าจนได้ เพราะขอบฟ้าดันได้ยินเสียงงึมงำกับตัวเองนั่น

“หน้าตาแบบพี่ซ้งอะนะไม่เคยมีแฟน ไม่เชื่อหรอก”

เสตามองพื้น ฝ้า ผนัง “ไม่เคยจริงๆ นะ…” สุดท้ายก็หยิบตลับใกล้มือสุดเสี้ยวนาทีนั้นใส่เข้าเครื่องไป

“พี่ซ้งดูเหมือนสาวเยอะจะตาย จริงด้วย สมัยนี้เขาจีบกันยังไงอะ” ธามวัตขยับขึ้นมานั่งประชิด อยากลองหาความสนใจเดียวกันยกขึ้นเป็นหัวข้อแห่งค่ำคืนด้วยเช่นกัน

‘มีดวงใจหนึ่งดวง จะมอบให้เธอไว้ครอง เมื่อยามสองเราต้องจากไกล’

“ก็…ส่งจดหมายน้อย ถ้าเขาชอบเราก็ลองเป็นแฟนกัน ถ้าเขาไม่ชอบเรา วันรุ่งขึ้นเขาก็ไม่มองหน้าเราเอง”

“น่ารักจัง แล้วพี่ซ้งเคยส่งให้คนอื่นบ้างไหม” ประกายพร่างพราวซึ่งระยับเคลือบนัยน์คนตัวเล็กเป็นหมัดชกหน้าตี๋ทรงติ๋มได้โดยไม่ต้องทดสอบซ้ำ

‘หากชีวิตไม่สิ้น ฉันจะกลับเอารักมาให้’

“...ไม่–ไม่เคยครับ”

คนน้องตีความท่าทีนิ่งๆ ของพี่ซ้งเป็นสัญญาณอยากจบความ จึงเลือกโยนสายตาแสนสนใจกลับไปหากองหนังสือมากมายบนชั้นเดียวกันนั้น และหากเพียงเอกธนัชกลั้นเก็บความขวยเขินของตนลงสักนิด เขาก็อาจไม่ต้องร้องเสียงหลงในวินาทีถัดมาตอนหนังสือเล่มหนึ่งถูกดึงออกจากมุม

นิตยสารมิดเวย์ หนังสือรวมภาพนายแบบเปลือยที่แค่เพียงปกก็ทำเอกธนัชหน้าชาวาบ คำพูดทั้งหมดพัดหายไปกับเสียงฟ้าร้องเบาๆ ด้านนอก 

ธามวัตสอดนิตยสารนั้นกลับที่เดิมโดยไร้คำพูดใดเช่นเดียวกัน จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าถอยกลับไปนั่งเก็บไม้เก็บมือบนฟูกนอนเหมือนเดิมน่ะดีแล้ว

“คือ…มัน”

“พี่ซ้งไม่ต้องอธิบายอะไรเลย มันเป็นเรื่องส่วนตัว  อีกอย่างเราก็ไม่ได้มองพี่เปลี่ยนไปด้วย ถ้าเกิดกลัวเรื่องนั้น”

สีหน้าเรียบนิ่งของเอกธนัชเวลานี้ทำธามวัตยอมแพ้ที่จะอ่านใจเขา พาลคิดไปว่าคงทำอีกฝ่ายโกรธแล้วแน่แท้ แต่กลับต้องผิดคาด “ปีของฟ้า…ผู้ชายที่ชอบผู้ชายเขาใช้ชีวิตกันยังไงครับ”

ตัวเล็กเม้มปากแน่น ปลายเล็บยังกำจิกอยู่ฝ่ามือ “พี่หมายถึงว่า พี่อยากแสดงออกแต่กลัวคนอื่นรับไม่ได้เหรอ”

“ป๊ากับม้าพี่เขาไม่เคยเข้มงวดกับพี่เหมือนลูกบ้านอื่น พี่ชอบอะไร อยากทำอะไร เขาไม่เคยว่าเลย แต่พี่กลัว–กลัวว่าถ้าเขารู้ว่าพี่เป็นแบบนี้เขาจะผิดหวังในตัวพี่ขึ้นมา แล้วก็ ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าใจการที่พี่ไม่ได้เป็นแต๋ว แต่ก็ไม่ได้ชอบผู้หญิงรึเปล่า”

“แล้วพี่อยากให้เขารู้ไหม” 

คลื่นความสับสนลังเลอันวูบไหวผ่านนัยน์ตาของเอกธนัชทำให้ธามวัตเผลอคิดถึงลูกบิดประตูห้องนอนของเขาที่บ้านในปีหกแปด ลูกบิดที่กลไกการหมุนบางอย่างเสียจนไม่สามารถปิดประตูให้สนิทอย่างสมควรจะเป็น แต่หล่อนนอนโดยเปิดประตูไว้มาเกือบหนึ่งปีแล้ว เพราะพ่อแม่ไม่เคยแวะกลับบ้านหลังบินไปทำงาน หรือหากแวะ ก็ไม่เคยเดินขึ้นมาถึงห้องนอนหล่อน…

…ช่างแตกต่างกับบ้านเอกธนัช

“ที่นู่น ถ้าเขาไม่ได้มีปัญหาที่ทำให้เปิดเผยตัวเองไม่ได้ เขาก็พูดกันอย่างเปิดเผยนะ หรือถ้าไม่พูด เขาก็แสดงออกผ่านการกระทำที่พอจะเดาได้เอง เพราะจริงๆ การถามรสนิยมทางเพศกับคนไม่สนิทมากก็แอบเสียมารยาทอยู่”

“แสดงว่าการที่พี่ไม่ชอบผู้หญิง แต่ยังแสดงออกเหมือนผู้ชายคนอื่น ในปีของฟ้าก็ยังมีความรักได้ใช่ไหมครับ”

“ใช่แล้ว แต่มันก็พอมีอะไรให้ดูออกบ้างอยู่นะว่าคนคนนั้นชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย”

“แล้วกับพี่ ฟ้า–”

เสียงแจ้งเตือนอันเป็นเอกลักษณ์จากกาสรร้องตัดคู่สายตาซึ่งสบประสานอยู่ขณะนั้น แสงสีเขียวยังคงกะพริบถี่ๆ รอการตอบรับจากปลายทาง

เอกธนัชจ้องทุกตัวอักษรบนหน้าจอซ้ำไปซ้ำมา ลอบกัดฟันก่อนจะทำใจเปล่งเสียงขึ้น “กาสรแจ้งข่าวมาสองเรื่องครับ เรื่องแรกคือ ผู้ปกครองของฟ้าทราบปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว และได้ส่งข้อความพิเศษที่อยากบอกขอบฟ้ามาให้ครับ เขาเขียนว่า–”

“–พี่ซ้งไปเรื่องสองเลย”

คนพี่พยายามจ้องลึกเพื่อควานหาความรู้สึกแท้จริงจากอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าจะด้วยฐานะหรือเหตุผลอะไร ก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีสิทธิ์เรียกร้องจากคนน้อง “...อีกเรื่องคือ ตอนนี้กาสรแก้ไขระบบเสร็จสิ้นจึงสามารถพาฟ้ากลับไปปีหกแปดได้แล้ว แต่จะชดเชยค่าเสียเวลา เนื่องจากไม่สามารถพาฟ้าไปรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้ด้วยเหตุผลด้านเส้นทางการจราจรของเวลาครับ”

การคำรามอึกทึกนอกหน้าต่างทำลายปราการด่านสุดท้ายจนระหุยแหลก หยาดตรมซึ่งล่อหน่วยอยู่ก่อนแล้วไหลกรีดผิวแก้มใสๆ ของธามวัตเฉกเช่นเดียวกับที่ปาดบากใจดวงน้อยใต้แผ่นอก แม้แต่เสียงฝนที่กระหน่ำโหมยังมิคล้ายจะช่วยกลบทับเสียงสะอื้นอย่างระทกของคนตัวเล็ก

คนตัวเล็กที่แขนขาพบแต่รอยกระชากทึ้ง

“ฟ้าไม่อยากกลับบ้าน ที่นู่นแม่งโคตรแย่เลย”

เอกธนัชเสียการทรงตัวไปเล็กน้อยตอนฝ่ายน้องถลาเข้าสวมกอด ลาดไหล่กว้างเกร็งแข็งขึ้นหนุนดวงหน้าอันเปรอะเลอะด้วยน้ำตา ปราศจากเสียงพูดปลอบอื่นใด มีแค่ความอบอุ่นจากอ้อมแขนและฝ่ามือซึ่งลูบเบาๆ ท่ามกลางอากาศชื้นที่เริ่มแทงสัมผัสเย็นยะเยือกเข้าผิวคนทั้งคู่

“มันเหมือนตัวเองอยู่ตรงกลางของทุกอย่าง ไม่เคยได้เป็นส่วนหนึ่งของอะไรเลย อยากเป็นตุ๊ด ก็โดนกดให้เลือกว่าจะเป็นกะเทยหรือเกย์กึง พึ่งได้มีเพื่อนสนิท แม่งก็หนีไปเรียนบนดอย ส่วนพ่อแม่ก็เคยจะสนใจกันที่ไหน จะตายแล้วถึงพึ่งคิดได้เหรอ”

อ้อมกอดเอกธนัชกระชับแน่นขึ้นระเรื่อยด้วยจนปัญญาจะหาวิธีปลอบโยนใดๆ อีก และหากจะโทษใครต่อการกระทำของเขาต่อจากนี้ได้ ก็คงเป็นอสุนีบาตสุกสว่างลับตาออกไปนั้นที่ทำให้เขาเผลอถามขึ้น

“แล้วถ้าพี่ขอให้ฟ้าอยู่กับพี่แบบนี้จนกว่าจะดีขึ้น…ฟ้าจะว่ายังไงครับ”

“ไม่เอาแล้ว พวกเกย์กึงใจร้าย”

“ให้พี่พิสูจน์นะครับ อย่าเพิ่งกลับเลยนะ นะครับ”

“เซ้าซี้จัง…โอเคก็ได้”


‘พาดวงใจเลื่อนลอย ฝากบทเพลงบรรเลงให้ไว้ เธอโปรดเก็บใจเอาไว้เพื่อรอ’ 


“กาสรทามทราเวลยินดีจะมอบสิทธิพิเศษในการท่องเวลาผ่านทางด่วนจราจรพิเศษ โดยไม่เสียค่าบริการปีละสามครั้งให้คุณธามวัตและคุณเอกธนัช ตามที่ได้ส่งคำร้องมาค่ะ ขอบคุณสำหรับความวางใจต่อกาสรทามทราเวลนะคะ”



อ้างอิง

The Innocent. (2529.) เรา [เพลง]. ใน ครั้งนี้ของพี่กับน้อง. นิธิทัศน์ โปรโมชั่น.

คีรีบูน. (2527.) รอวันฉันรักเธอ [เพลง]. ใน รอวันฉันรักเธอ. RS.


เนื้อหา: 18th

พิสูจน์อักษร: ปฐิมาพร ฮ้อศิริมานนท์, ปุณณิศา พัดเพ็ง

ภาพ: JIRANAN