
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเดือนธันวาคมคงเป็นช่วงเวลาโปรดของใครหลายๆ คน เพียงแค่ได้มองวันเวลาที่ผันเปลี่ยนจากวันที่ 30 พฤศจิกายนเข้าสู่วันที่ 1 ธันวาคมก็เพียงพอที่จะทำให้ใครสักคนดีใจจนเนื้อเต้น บางคนคาดหวังวันหยุดยาวประจำปี บ้างคาดหวังที่จะได้เดินจับมือท่ามกลางลมหนาวกับคนรัก บ้างคาดหวังงานเฉลิมฉลอง และยังอีกหลายสิ่งที่เดือนธันวาคมนี้จะพัดพาความสุขสมหวังและรอยยิ้มมาให้แก่ผู้คน
หากแต่ก็ต้องยอมรับว่า ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสุขเหล่านั้นก็ย่อมแฝงซ่อนไว้ด้วยความกดดัน ความเศร้าและความเหงาที่หลายคนต้องเผชิญ ลมหนาวที่พัดส่งท้ายปีอาจไม่ได้นำมาซึ่งเพียงความสุขเสมอไป แต่อาจโหมซัดความรวดร้าวในจิตใจให้ทบทวีขึ้นด้วยเช่นกัน ถึงอย่างนั้นผู้เขียนกลับดีใจที่ลมหนาวครั้งนี้ได้พัดพาทุกเศษเสี้ยวความรู้สึกให้หวนกลับมานึกคิดและตกตะกอนกลายเป็นความทรงจำล้ำค่าที่แสนหวานแม้ติดขมขื่น ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงอยากพานักอ่านทุกท่านร่วมสำรวจและทำความเข้าใจทุกความคิดความรู้สึกในห้วงเวลาแห่งเดือนธันวาคมนี้ไปพร้อมกัน
ลมหนาวกับความรัก
ผู้เขียนเคยนึกสงสัยว่าทำไมเดือนธันวาคมมักเป็นเดือนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งรัก ไม่ว่าจะเดินเที่ยวเล่นที่ใดก็มักพบเจอคู่รักจับจูงมือกันพร้อมรอยยิ้มแต่งแต้มใบหน้าไม่ขาด หรือแม้แต่กับคนโสดเอง เดือนธันวาคมก็เป็นช่วงเวลาแสนวิเศษสำหรับการสังสรรค์กับญาติสนิทมิตรสหาย ผู้คนต่างยิ้มแย้มและโอบกอดกันมากกว่าเดือนอื่นๆ ที่ผ่านมา
มีทฤษฎีหนึ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจเหตุผลว่าเหตุใดลมหนาวนี้จึงหอบหิ้วความรักมาฝากฝังแก่ใจผู้คน นั่นเป็นเพราะว่าเมื่ออากาศเย็นลงร่างกายมนุษย์ต่างต้องการความอบอุ่น จึงนำไปสู่การสัมผัสทางร่างกาย เช่น การกอดหรือการอยู่ใกล้ชิด ซึ่งช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมน oxytocin อันเป็นฮอร์โมนที่เกี่ยวกับความรู้สึกผูกพันและความรัก ดังนั้นอากาศเย็นๆ ในช่วงเดือนธันวาคมนี้จึงทำให้ผู้คนรู้สึกว่าอยากจะมีใครสักคนเคียงกาย และอยากเติมความรักความผูกพันกันมากขึ้น ไม่ว่าจะโดยทางกายหรือทางจิตใจก็ตาม จึงไม่แปลกเลยที่เดือนธันวาคมนี้จะเป็นเดือนแห่งความรักและการกระชับมิตรภาพกับเหล่าคนสำคัญมากกว่าที่เคย
ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของอากาศเท่านั้น แต่องค์ประกอบหลายๆ อย่างที่แสดงเอกลักษณ์ของเดือนธันวาคมก็ส่งผลต่อความรู้สึกในหัวใจเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นแสงไฟที่คอยประดับประดาตามต้นคริสต์มาส เสียงเพลงประจำเทศกาลที่เปิดคลอเบาๆ ทั่วทุกมุมถนน หรือแม้แต่หนังรักที่มักฉายในช่วงสิ้นปี สิ่งเหล่านี้ต่างล้วนกระตุ้นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความสุขและความฝัน ทำให้เหล่าผู้คนถูกดึงดูดให้อยู่ในภวังค์แห่งรักและหวังดี และอยากใช้เวลาในเดือนธันวาคมนี้กับเหล่าคนสำคัญของตน
ลมหนาวกับความหวัง
ช่วงเวลาปลายปีมักเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คนประเมินชีวิต (reflection) และใช้เวลาในช่วงเดือนนี้เพื่อทบทวนสิ่งต่างๆ ที่วนเข้ามาทักทายและท้าทายตลอดทั้งปี พร้อมทั้งประเมินว่าจะโอบรับสิ่งใดก้าวข้ามผ่านเข้าสู่ปีใหม่ไปพร้อมกัน แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่ผู้คนอยากจะโอบอุ้มและก้าวเข้าสู่ศักราชใหม่คงไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจาก “ความหวัง”
ปกติแล้วตัวผู้เขียนไม่ใช่คนที่ชอบหวังสิ่งใดอย่างจริงจังเท่าไรนัก เพียงใช้ชีวิตให้รอดพ้นไปแต่ละวันก็นับเป็นความสุขล้นพ้นจนไม่คิดหวังสิ่งใด หรือหากจะหวังก็คงหวังเพียงแค่ขอให้วันพรุ่งนี้ตนยังรอดผ่านมรสุมชีวิตไปได้อีกวันเพียงเท่านั้น แต่ก็น่าแปลกใจที่ไม่ว่าจะปีไหนๆ พอเข้าเดือนธันวาคมเมื่อใดก็มักจะเผลอตั้งความหวังอย่างควบคุมไม่ได้เสียทุกที
มนุษย์ทุกคนไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ตัวผู้เขียนก็เช่นกัน เมื่อลองย้อนกลับไปมองภาพตนเองในเดือนก่อนๆ ก็มองเห็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยข้อผิดพลาด ทั้งพลาดในการตัดสินใจ พลาดในการสื่อสาร พลาดในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคน พลาดในการทำงาน การแบ่งเวลา และยังอีกหลายๆ ด้านที่พลาดพลั้งจนสูญเสียสิ่งดีๆ ไปไม่มากก็น้อย
ไม่มีผู้ใดไม่เสียใจกับสิ่งที่รู้สึกผิดพลาด และแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดที่อยากโอบกอดความรู้สึกนั้นไปตลอดกาล อย่างน้อยที่สุดขอเพียงได้ยอมรับ ปล่อยวาง และโอบอุ้มความหวังครั้งใหม่ที่จะไม่พลาดพลั้งเหมือนอย่างเคย
เพราะแบบนั้น ลมหนาวในเดือนธันวาคมที่พัดเข้ามากระทบจิตจึงกลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวและปลอบใจว่า อีกไม่นานความรู้สึกผิดพลาดที่ตกค้างเป็นตะกอนในใจนี้จะสิ้นสุดลง และสายลมจะช่วยพัดบรรยากาศใหม่ๆ เข้ามาในชีวิตให้ได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาแห่งการทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในปีนี้ และเป็นช่วงเวลาแห่งความคาดหวังว่าปีหน้าจะดีขึ้นมากกว่าเดิม
ลมหนาวกับการลาจาก
ลมหนาวช่วยพัดพาสิ่งใหม่ๆ มาแก่ชีวิตฉันใด ก็ย่อมพัดพาบางสิ่งให้จากเราไปด้วยฉันนั้น ดังเช่นเรื่องราวของเขาคนหนึ่งที่ผู้เขียนให้คำนิยามว่าความรัก เขาผ่านเข้ามาในชีวิตราวขนนกที่ถูกพัดเข้ามากลางใจอย่างแผ่วเบา ไม่รุกเร้า ไม่เร่งความ แต่กลับทิ้งความรู้สึกฝังลึกในใจจนยากจะสลัดขนนกนั้นออก แต่แน่นอนว่ามรสุมระลอกยักษ์ก็ได้พัดขนนกนั้นจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืน แม้จะรักษาแผลใจจนคิดว่าหายสนิท แต่ลมหนาวเดือนธันวาคมก็พัดเข้ามาสะกิดและตอกย้ำความคิดที่ว่าเวลาต่อจากนี้ตัวผู้เขียนจะไม่มีเขาในชีวิตอีกแล้วอย่างไม่มีวันย้อนกลับ
อาจเพราะช่วงเวลาปลายปีคือจุดสิ้นสุดในเชิงสัญลักษณ์ จึงไม่แปลกที่ชวนให้เหล่าผู้คนรวมถึงตัวผู้เขียนเองรู้สึกว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องยอมรับว่าอะไรที่สูญเสียไปแล้วย่อมไม่หวนคืนมา และกลายเป็นช่วงเวลาที่ผลักให้เราต้องทิ้งของเก่าเพื่อต้อนรับสิ่งใหม่ที่กำลังจะมาถึง เดือนธันวาคมจึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องยอมรับว่าบางคนไม่กลับมาแล้ว และบางความสัมพันธ์อาจไม่เหมาะกับการจะก้าวเดินต่อไปในปีหน้า แม้การยอมรับความสูญเสียจะเป็นเรื่องน่าเจ็บปวด หากแต่ไม่ใช่ความอ่อนแอ กลับกัน มันคือการอนุญาตให้ตัวเองไม่ต้องฝืน และทำให้เราได้ซื่อสัตย์กับตัวเองว่าเราพยายามมามากแล้ว และถึงเวลาที่ต้องวางบางอย่างลงเพื่อก้าวเดินต่อแล้วเช่นกัน
สุดท้ายนี้ อีกเพียงไม่กี่วันเดือนธันวาคมก็จะผ่านพ้นไป ลมหนาวในปีนี้ยังคงพัดพาทุกความรู้สึกให้ได้ตกตะกอนในใจไม่ต่างจากทุกที ทั้งเรื่องดีที่พาให้สุขจนใจหาย และเรื่องร้ายที่จำต้องยอมรับและปล่อยวางเพื่อก้าวเดินต่อ แต่แน่นอนว่าท้ายที่สุด เข็มนาฬิกาจะยังคงทำหน้าที่ของมัน ช่วงเวลาแห่งศักราชใหม่จะเข้ามาทักทาย และเรื่องดีใหม่ๆ จะยังรอเราเสมอ
เนื้อหา : Rocha
พิสูจน์อักษร : ริณี และ ปุณณิศา
กราฟิก : Nattarin