
สามเรื่องสั้นรำลึก 14 ตุลา จาก ขุนทอง…เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง
หนังสือรวมเรื่องสั้น ขุนทอง…เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง โดย อัศศิริ ธรรมโชติ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนอย่างยิ่งของถ้อยคำอันเลื่องชื่อที่ว่า “วรรณกรรมและนักเขียนต่างก็เป็นคันฉ่องและโคมฉายของสังคม”
หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ระหว่างปี พ.ศ. 2516-2521 ซึ่งนับว่าเป็นช่วงที่การเมืองภายในประเทศยังคุกรุ่น ระยะเวลาอันยาวนานภายใต้ระบอบเผด็จการทหารก่อให้เกิดความอัดอั้น เบื่อหน่าย และไม่พอใจในหมู่ประชาชนและนักศึกษาจำนวนมาก ประหนึ่งระเบิดเวลาที่รอวันปะทุ จนท้ายที่สุดก็ระเบิดออกมาเป็นครั้งแรกในยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน
สามปีในยุคที่ดูเหมือนกับว่าประเทศกำลังก้าวย่างไปข้างหน้า ฟังดูน่าอภิรมย์ยินดี ทว่าใครจะรู้ว่าเพียงเวลาแค่สามปีที่ประชาชนพอจะได้มีโอกาสรื่นเริงกับเปลวเทียนของความหวังใหม่แห่งชีวิต เชื้อไฟแห่งความหวังเหล่านั้นก็ถูกดับลงพลันด้วยความสามานย์ของเหตุการณ์สังหารหมู่ 6 ตุลาคม ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ทำให้เกิดคำถามมากมายถึงความเสื่อมถอยของประชาธิปไตย และนำไปสู่ข้อสงสัยว่า ประเทศไทยเคยมีประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือไม่
หากอ่าน ขุนทอง…เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง จนจบ ผู้อ่านหลายท่านที่เคยอ่าน ปีศาจ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์ คงพบความเชื่อมโยงสัมพันธ์บาง (หรืออาจจะหลาย) ประการ งานเขียนแนวก้าวหน้าอย่าง ปีศาจ ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ใหม่ในช่วงทศวรรษ 2510 ถือเป็นอีกปัจจัยที่มีอิทธิพลต่ออัศศิริไม่น้อย เพราะเล่มนี้เองก็นับว่าเป็นหนึ่งในวรรณกรรมในดวงใจของเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทั้งสองเล่มพยายามบอกเล่าเรื่องราวของชนชั้นกลางค่อนไปทางล่างเป็นหลัก ซึ่งก็อาจหมายถึงการพยายามทำหน้าที่ดั่งกระจกสะท้อนสังคมในยุคหนึ่งๆ ออกมาให้เห็น นอกจากนี้ ยังอาจมองได้ว่านี่คือผลผลิตที่สะท้อนการเติบโตของแนวคิดสังคมนิยมอีกด้วย
หนังสือชุดรวมเรื่องสั้น 13 เรื่องนี้ เริ่มจาก เธอยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ในใจฉัน (ตีพิมพ์ กุมภาพันธ์ 2521) และปิดท้ายด้วยเรื่อง ขุนทอง…เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง (ตีพิมพ์ กันยายน 2520) สองเรื่องนี้เปรียบเสมือนปฐมบทและปัจฉิมบทที่เชื่อมร้อยเข้าด้วยกันอย่างงดงามบริบูรณ์ ครอบคลุมประเด็นหลักที่หนังสือพยายามสื่อ โดยต่างเล่าถึงเหตุการณ์การประท้วงการกลับมาของจอมพลถนอม กิตติขจร เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 หลังจากที่หนีออกนอกประเทศไปเมื่อสามปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ไม่ได้อุบัติขึ้นเพียงเพราะการกลับมาของถนอมเท่านั้น หากยังเป็นผลจากความขัดแย้งทางสังคมหลายประการ และจากความเฟื่องฟูของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์จนนำไปสู่เหตุการณ์ปิดป่าล่าคอมมิวนิสต์ในเวลาต่อมา
แม้ทั้งสองเรื่องจะพูดถึงเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 เช่นเดียวกัน แต่ล้วนแล้วแต่เล่าจากประสบการณ์คนละด้าน เธอยังมีชีวิตอยู่ อย่างน้อยก็ในใจฉัน ถ่ายทอดเรื่องราวของนักศึกษาหญิงผู้คอยปิดป้ายประท้วงอดีตนักการเมือง และวิพากษ์ความเสื่อมทรามของจรรยาบรรณสำนักข่าว คนทำข่าว และสื่อมวลชน ซึ่งสะท้อนชัดเจนในกรณีของหนังสือพิมพ์ดาวสยาม ที่เล่นข่าวว่านักศึกษาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เรื่องดังกล่าวถูกสถานีวิทยุยานเกราะขยายต่อและปลุกเร้าให้เข่นฆ่านักศึกษาที่ชุมนุมอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์และบิดเบือนสาระสำคัญและข้อเรียกร้องทางการเมืองที่แท้จริงให้กลายเป็นการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์แทน เห็นได้จากความตอนหนึ่งว่า “…เรื่องการต่อต้านการกลับมาของอดีตนักการเมืองดูเป็นเรื่องเล็กน้อยและไกลประเด็นไปเสียแล้ว มีเรื่องที่ยิ่งใหญ่กระทบถึงสถาบันและจุดพลังแห่งความแค้นเคืองกระทบถึงคนส่วนมากในประเทศ” ตัวผู้เล่าในฐานะที่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนเช่นเดียวกันนั้นเอง ก็รู้สึกอับอายและขยะแขยงต่อการกระทำที่จุดกระแสความเกลียดชังนี้เป็นล้นพ้น แม้ตัวอัศศิริจะไม่ได้ประกาศออกมาตรงๆ ว่าตนฝักใฝ่ฝ่ายใด แต่ผู้อ่านอาจจะพอสังเกตจุดยืนทางการเมืองของเขาได้จากประโยคหนึ่งในตัวบท “…แต่สิ่งที่ผมปักใจเชื่ออยู่ตลอดไป ไม่ว่าวันนี้วันไหน ก็คือเชื่อว่าความคิดของเธอบริสุทธิ์ สะอาด ไร้เล่ห์กลมารยาคล้ายทีท่าและรอยยิ้มที่ได้พบเห็นวันนั้น”
ในขณะเดียวกัน ขุนทอง…เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง เล่าถึงชีวิตของ เจ้าขุนทอง ซึ่ง ณ ที่นี้คือตัวแทนของนิสิตนักศึกษาที่พร้อมใจวางตำรา ร่วมกันเดินออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย ก่อนที่ชีวิตภายหลังของพวกเขาจะต้องหนีการไล่ล่าหัวซุกหัวซุนเข้าป่า แล้วกลับออกมาด้วยสภาพไร้วิญญาณ เพียงเพราะถูกมองว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อสังคม ทั้งสองเรื่องจบด้วยโศกนาฏกรรมของตัวละครหลักที่แม้จะไม่ได้เขียนขึ้นมาจากเรื่องจริงของบุคคลใดเป็นการเฉพาะ แต่กระนั้นก็ล้วนแล้วแต่ฉายภาพในสังคมที่เกิดขึ้นจริง ณ ห้วงเวลานั้น ห้วงเวลาแห่งการไล่ล่า ห้วงเวลาแห่งการฆ่าฟัน อันเป็นห้วงเวลาแห่งความเสื่อมถอยของสังคมประชาธิปไตยในประเทศไทย
นอกจากนี้ ช่วงกลางของหนังสือยังโยงกับเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่จุดประกายให้สังคมไทยตระหนักถึงประชาธิปไตย สิทธิ และเสรีภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของประชาชนกลุ่มต่างๆ หรือขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมหลากหลายรูปแบบ ดอกไม้…ที่เธอถือมา ตีพิมพ์ในเดือนธันวาคม 2516 ซึ่งเป็นเวลาเพียงสองเดือนหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ เนื้อหาหลักยังคงเล่าถึงการออกมาประท้วงรัฐบาลเผด็จการของจอมพลถนอม กิตติขจร เช่นเดียวกับสองเรื่องที่ได้กล่าวถึงไปก่อนหน้า ตัวละครหลักเองก็ยังคงเป็นนักศึกษา แต่บทนี้ผู้เขียนได้นำภาพ “ดอกไม้” มาเปรียบกับบรรดานิสิตนักศึกษาว่าเป็นดั่งความบริสุทธิ์งดงามและความหวังใหม่ของประเทศ ทว่าบทสรุปสุดท้ายของพวกเขาเหล่านั้นก็ยังคงจบลงด้วยความโศกาลัยเช่นเดิม
จากสามเรื่องนี้ อัศศิริได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาได้กระทำอย่างที่เคยกล่าวไว้ว่า ในฐานะผู้เขียน เขาจะต้องทำหน้าที่เป็นเพียง “กล้องถ่ายภาพยนตร์” ที่คอยบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเก็บเอาไว้ หากมีเหตุการณ์ที่ไม่แน่ใจก็แค่เล่าออกมาตามที่เป็น ปราศจากการชี้นำ อาจมีการแสดงจุดยืนของตนให้เห็นบ้างแต่ก็เพียงเล็กน้อย โดยมากเขาจะเล่าเพียง ใครทำอะไร
บทอื่นๆ ใน ขุนทอง…เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง ก็ยังควรค่าแก่การอ่านไม่แพ้กัน เรื่องราวยังสะท้อนภาพซ้ำกับที่เรายังเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน แม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงศตวรรษที่ 21 แล้วก็ตาม แต่ชีวิตชนชั้นล่างยังคงต้องดำรงอยู่ท่ามกลางห้วงมหรรณพแห่งความยากจน ต่อให้ขยันเป็นล้นพ้นก็ไม่ได้รับประกันว่าชีวิตจะดีขึ้นหรือไปได้ดีได้ เรื่องของโสเภณี อำนาจของเงินหรือแม้กระทั่งความอยุติธรรมของเจ้าพนักงานรัฐยังคงปรากฏให้เห็นไม่ต่างจากปัจจุบัน นอกจากประเด็นทางสังคมแล้ว สิ่งที่ทำให้งานเขียนของอัศศิริโดดเด่นอีกประการคือการสอดแทรกวิถีชีวิตอันงดงามและความผูกพันกับธรรมชาติของผู้คน ซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของบรรยากาศพื้นบ้าน
หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังลังเลว่าตุลาหนนี้จะทำอะไรต่อดี ลองหยิบ ขุนทอง…เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง ขึ้นมาเปิดอ่านก็คงจะเป็นอีกทางเลือกที่ไม่เลวนักสำหรับการย้อนรำลึกถึง 14 ตุลาหนก่อน
อ้างอิง
เกศนคร พจนวรพงษ์, ย้อนรอย ‘ดาวสยาม’ แผลเป็นของสื่อมวลชนผู้จุดชนวน 6 ตุลา [ออนไลน์], 6 ตุลาคม 2564. แหล่งที่มา https://thestandard.co/6-october-1976-massacre-2/
โครงการ “บันทึก 6 ตุลา”, ปัจจัยที่นำมาสู่กรณี 6 ตุลาฯ [ออนไลน์], แหล่งที่มา https://doct6.com/learn-about/how/chapter-2
อัศศิริ ธรรมโชติ, ขุนทอง…เจ้าจะกลับเมื่อฟ้าสาง, ครั้งที่ 26 (กรุงเทพฯ: แพรวสำนักพิมพ์, 2557), หน้า 6.
อาชญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ, “ผมเป็นปีศาจที่แปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา” เมื่อสาย สีมา มีอันต้องไปปราบคอมมิวนิสต์ [ออนไลน์], 4 มิถุนายน 2566. แหล่งที่มา https://www.the101.world/sai-seema-of-peesat/
เนื้อหา: สหายของคุณ (ruby)
พิสูจน์อักษร: ปฐิมาพร ฮ้อศิริมานนท์
ภาพ: วอ.
