โดราเอมอน  ว่าด้วยวัฒนธรรมญี่ปุ่น มิตรภาพ และความไม่สมบูรณ์แบบ

“โดราเอมอน” 

ทานูกิสีฟ้า ตัวกินโดรายากิ กระเป๋าสี่มิติแห่งกองขยะ และเพื่อนรักตลอดกาลของโนบิตะ ภาพจำมากมายเหล่านี้คงผุดขึ้นมาในใจคนหลายคนเมื่อได้ยินคำว่า “โดราเอมอน” 

.

หุ่นยนต์แมว (หรือทานูกิ?) พี่เลี้ยงเด็กจากศตวรรษที่ 22 เดินทางข้ามเวลามาดูแลเด็กไม่เอาถ่านนามว่า “โนบิ โนบิตะ” ด้วยของวิเศษอันพิลึกพิศวงมากมายสุดจะคณานับจากโลกอนาคต ทั้งหมดนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปลี่ยนอนาคตของคนในครอบครัวสายเลือดตระกูลโนบิให้ไม่ต้องมีชีวิตอันแสนขัดสนข้นแค้นอีกต่อไป นับตั้งแต่วันแรกที่ปรากฏออกสู่สายตาคนทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ เป็นระยะเวลากว่า 55 ปีมาแล้ว 

.

บทความนี้จึงอยากพาผู้อ่านทุกท่านนั่งเบียดเสียดกันบนไทม์แมชชีนคู่ใจ ย้อนเวลาไปดูจุดเริ่มต้นของการ์ตูนและอนิเมชันเรื่องนี้ผ่านเหตุการณ์มากมายในช่วงเวลาแห่งยุคร่วมสมัยของญี่ปุ่น พร้อมแวะไปส่องดูวันที่เพื่อนรักทั้งสองอย่างโนบิตะกับโดราเอมอนพบกันวันแรกและจากกันในวันสุดท้าย และสุดท้ายก็มาร่วมด้วยช่วยกันพินิจพิเคราะห์บทบาทและสิ่งที่เราได้จากโดราเอมอนผ่านเลนส์แว่นตาในยุคปัจจุบัน


“ความหมายของชื่อโดราเอมอน”

โดราเอมอน (Doraemon) หรือ ドラえもん ในภาษาญี่ปุ่น ชื่อนี้ประกอบไปด้วยคำสองคำ นั่นคือคำว่า “โดะระ (ドラ)” และ “เอะมน (えもん)” คำว่าโดะระมีความหมายถึงสัตว์จรจัด ในที่นี้ก็มาจากคำว่า “โดะระเนะโกะ (どら猫)” หรือแมวจรจัด คำนี้นั้นแตกต่างจากคำว่าแมวจรจัดที่ใช้กันทั่วไปอย่าง “โนะระเนโกะ (野良猫)” เพราะโดะระเนะโกะจะหมายถึงแมวจรจัดที่มักชอบไปขโมยของชาวบ้านด้วย ส่วนคำว่าเอะมนนั้นเป็นคำที่มักใช้ลงท้ายชื่อผู้ชายญี่ปุ่นสมัยก่อน เชื่อกันว่ามาจากคำว่า “ซะเอะมน (左衛門)” ผู้อ่านอาจคุ้นชินกับคำนี้จากตัวละครหมูในการ์ตูนชินจังจอมแก่นที่ชื่อบุริบุริซะเอะมน (ぶりぶりざえもん) เมื่อสองคำรวมกันจึงมีความหมายถึงแมวจรจัดเพศผู้นั่นเอง ชื่อหุ่นยนต์โดราเอมอนนี้ก็มีทฤษฎีที่เชื่อกันว่ามีที่มาจากตัวละครที่ชื่อ “โดะจิเอะมน (ドジエモン)” จากเรื่อง Jungle Emperor (ジャングル大帝) อันเป็นผลงานของบิดาวงการการ์ตูนญี่ปุ่นอย่าง เท็ท์ซุกะ โอะซะมุ (手塚 治虫) ที่อาจารย์ผู้แต่งโดราเอมอนชื่นชมเคารพอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ขอเพิ่มเติมสำหรับผู้อ่านที่เรียนภาษาญี่ปุ่นสักเล็กน้อย ผู้อ่านอาจเคยสงสัย (หรือไม่?) ว่าทำไมชื่อโดราเอมอนถึงได้เขียนด้วยตัวอักษรที่แตกต่างกัน โดยคำว่าโดะระเขียนด้วยตัวอักษรฮิระงะนะ แต่คำว่าเอะมนเขียนด้วยตัวอักษรคะตะกะนะ  คำตอบต่อข้อสงสัยดังกล่าวพบเจอเพียงแค่การอธิบายในสารานุกรมโดราเอมอนเท่านั้นคือ ในช่วงขณะที่พนักงานสำนักบริหารการทะเบียนหุ่นยนต์แห่งโลกอนาคต (未来のロボット戸籍調査員) ถามชื่อของโดราเอมอน โดราเอมอนที่กำลังตื่นตระหนกอยู่ก็เกิดลืมวิธีเขียนคะตะกะนะของคำว่าเอะมนไปชั่วครู่เสียอย่างนั้น ด้วยเหตุนี้จึงออกมาเป็นชื่ออย่างที่เราเห็นจนถึงทุกวันนี้


“จุดเริ่มต้นการ์ตูนโดราเอมอน”

ผู้ให้กำเนิดโดราเอมอนคงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากนามปากกา ฟุจิโกะ ฟุจิโอะ (Fujiko Fujio) ที่ทุกคนคุ้นหูคุ้นตา นามปากกานี้เป็นของอาจารย์สองท่านนามว่า ฟุจิโมะโตะ ฮิโระฌิ (藤本 弘) และอะบิโกะ โมะโตะโอะ (安孫子 素雄) ต่อมาทั้งคู่ก็แยกย้ายจากกัน บางแหล่งข่าวบอกว่าเป็นเพราะอาการเจ็บป่วยจากมะเร็งตับที่ตรวจพบในปี 1986 เมื่อทั้งสองแยกกัน ฟุจิโมะโตะ ฮิโระฌิ ก็ใช้นามปากกา ฟุจิโกะ เอฟ ฟุจิโอะ (Fujiko F. Fujio) และอะบิโกะ โมะโตะโอะ ใช้นามปากกา นามว่า ฟุจิโกะ ฟุจิโอะ เอ (Fujiko Fujio A)

.

ในช่วงทศวรรษ 1950-1960 ถือเป็นช่วงที่การ์ตูนญี่ปุ่นเติบโตอย่างมาก เพราะสื่อบันเทิงหนึ่งเดียวของเด็กสมัยนั้นก็คือการ์ตูนในนิตยสาร ส่วนโดราเอมอนฉบับตีพิมพ์ครั้งแรกวางจำหน่ายในเดือนธันวาคม ปี 1969 (ฉบับเดือนมกราคม 1970) แบ่งออกเป็น 6 ฉบับ ลงในนิตยสารเด็กทั้ง 6 เล่ม อันได้แก่ นิตยสารเด็กเล็ก (よいこ) นิตยสารอนุบาล (幼稚園) นิตยสารเด็กประถมศึกษาปีที่ 1 (小学一年生) นิตยสารเด็กประถมศึกษาปีที่ 2 (小学二年生) นิตยสารเด็กประถมศึกษาปีที่ 3 (小学三年生) และนิตยสารเด็กประถมศึกษาปีที่ 4 (小学四年生) เนื้อหาที่ตีพิมพ์ในทั้ง 6 เล่มก็จะมีความแตกต่างกันไป ด้วยสาเหตุของการวาดเขียนเรื่องราวและสรีระตัวละครให้เหมาะกับช่วงวัยผู้อ่าน เช่น โนบิตะในนิตยสารเด็กเล็กจะตัวเล็กกว่าฉบับประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นต้น ส่วนที่พวกเราชาวไทยคุ้นตากันคือฉบับประถมศึกษาปีที่ 4 ต่อมาได้มีการตีพิมพ์รวมเล่มในปี 1974 และขายจบไปด้วยสถิติยอดตีพิมพ์ที่สูงมากถึง 750 ล้านเล่มในปี 1994 เดิมทีแล้ว อาจารย์ต้องการเขียนโดราเอมอนให้จบภายในราว 1 ปีครึ่ง หรือราว 15 ฉบับ แต่ด้วยความนิยมอันล้นหลามจึงยังมีโดราเอมอนต่อไป

.

ฉบับการ์ตูนแอนิเมชัน แบ่งทั้งการดีไซน์ ลายเส้น และองค์ประกอบออกได้เป็น 3 เวอร์ชันในแต่ละช่วงปี โดราเอมอนเริ่มออกอากาศเมื่อปี 1973 (เวอร์ชัน ปี 1973) ทางสถานีโทรทัศน์ Nippon TV และเมื่อปี 1979 ก็ได้โลดแล่นไปอยู่ในคลื่นสัญญาณโทรทัศน์ของ TV Asahi (เวอร์ชัน ปี 1979) เวอร์ชันนี้เองก็มีการออกอากาศที่ยาวนานมาก รวมแล้วราวหนึ่งพันกว่าตอน ช่อง 9 อ.ส.ม.ท. ของประเทศไทยเองก็นำเวอร์ชันนี้มาออกอากาศในไทยเป็นครั้งแรกในปี 1982 และสุดท้าย เวอร์ชันเริ่มออกอากาศปี 2005 (เวอร์ชัน ปี 2005) เป็นแบบฉบับนับตั้งแต่วันนั้นจนถึงทุกวันนี้ ส่วนของภาพยนตร์โดราเอมอน (Doraemon the Movie) ก็มีมาเกือบทุกปี เป็นดั่งธรรมเนียมไปแล้ว ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ชื่อ โดราเอมอน: ผจญภัยไดโนเสาร์ (映画ドラえもん のび太の恐竜) ได้เริ่มออกอากาศเป็นอันดับแรกในเดือนเมษายน 1980

.

แรงบันดาลใจที่ก่อกำเนิดโดราเอมอนก็คือ วันหนึ่ง อ.ฟูจิโมโตะ ตื่นมาแล้วเดินสะดุดตุ๊กตาล้มลุก พร้อมกับคิดไปถึงแมวจรจัด เลยนำมารวมกันเป็นโดราเอมอน และเหตุผลที่โดราเอมอนเป็นสีฟ้าก็เพราะปกนิตยสารสมัยนั้นมีพื้นหลังสีเหลือง โลโก้สีแดง เลยต้องให้โดราเอมอนมีสีฟ้า ตัดกันกับสีอื่นๆ ในปกนั่นเอง  

.

“บริบทยุคสมัยโดราเอมอน”

โดราเอมอนเกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1960 หรือหากมองโดยง่ายก็คือทศวรรษ 1970 ในช่วงเวลาดังกล่าว ญี่ปุ่นที่เพิ่งได้รับอิสรภาพจากสหรัฐอเมริกาในปี 1952 ได้เร่งขีดความสามารถทางเศรษฐกิจอย่างสุดแรงม้า อัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่แท้จริง (Real GNP) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยมาตรการสำคัญคือ การมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจและลดการพัฒนาทางทหาร อาจกล่าวได้ว่า เป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น สังเกตได้จากอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 9.3 อีกทั้งในปี 1964 ญี่ปุ่นยังได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกและงานมหกรรมสินค้าโลก (World Expo) จุดนี้เองที่ญี่ปุ่นได้ก้าวเข้าสู่ “ยุคร่วมสมัย (現代)” 

.

ศักราชโชวะ (1926-1989) โดยเฉพาะในช่วงหลังปี 1954 จนถึงปี 1989 เป็นยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ทางเศรษฐกิจ นโยบายพัฒนาเศรษฐกิจญี่ปุ่นในยุคโชวะโดยเฉพาะช่วงปี 1954-1973 ต่างถูกเรียกว่า “Japanese Economic Miracle” รากฐานของการเติบโตดังกล่าวเริ่มในช่วงทศวรรษ 1950 ที่ญี่ปุ่นลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น มีเทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมเหล็ก ยานยนต์ และเคมี และตั้งแต่ปี 1960 รัฐบาลนายอิเกดะก็ประกาศใช้แผนเพิ่มรายได้เป็นสองเท่า (国民所得倍増計画) อุตสาหกรรมมากมายจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว นโยบายภายใต้แผนดังกล่าวก็สนับสนุนให้เศรษฐกิจก้าวกระโดด เช่น นโยบายสนับสนุนการออม นโยบายสนับสนุนการส่งออก นโยบายสนับสนุนการลงทุน และที่สำคัญคือ นโยบายระบบการจัดสรรเงินตราต่างประเทศ (คล้ายการจำกัดการนำเข้าสินค้าต่างประเทศ) ด้วยภูมิหลังทางเศรษฐกิจเช่นนี้ จึงทำให้เกิดหลายสิ่งที่เป็นสัญญะแห่งยุคโชวะ เช่น โตเกียวทาวเวอร์ มนุษย์เงินเดือน (salary man) และความรู้สึกร่วมแห่งการเป็นสังคมชนชั้นกลาง สามตัวอย่างนี้ปรากฏให้เห็นอยู่เป็นนิจในโดราเอมอน เช่น ในฉากเพลงเปิด opening theme song เองก็มีฉากที่โนบิตะและโดราเอมอนโลดแล่นผ่านโตเกียวทาวเวอร์ หรือการที่พ่อของโนบิตะเป็นตัวแทนภาพลักษณ์ของมนุษย์เงินเดือน และความเป็นชนชั้นกลางของบ้านโนบิ

.

นอกจากนี้ เศรษฐกิจที่ขยายตัวประกอบกับสังคมแบบโลกาภิวัตน์ทำให้คนญี่ปุ่นไม่ยึดติดกับที่อยู่เดิม คนจำนวนมากเดินทางไปยังเมืองหลวงอย่างโตเกียวเพื่อศึกษาเล่าเรียนและไขว่คว้าหาโอกาสในการทำงาน ลักษณะจากครอบครัวขยาย (拡大家族) แต่เดิมจึงกลายเป็นลักษณะครอบครัวเดี่ยว (核家族) มากขึ้น ดังที่เห็นได้จากครอบครัวโนบิ ครอบครัวเพื่อนคนอื่นๆ ก็ล้วนเป็นครอบครัวเดี่ยวทั้งสิ้น อีกทั้ง จากการพัฒนาที่ก้าวกระโดด การแข่งขันในสังคมญี่ปุ่นทั้งการเรียนและการทำงานทวีความรุนแรงขึ้นเป็นอย่างมาก สิ่งนี้ก่อให้เกิดภาวะการแข่งขันสูงและสภาวะแวดล้อมที่กดดัน 

.

ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 1950 เป็นต้นมา มีสิ่งที่เรียกว่า “สามสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งยุคโชวะ (昭和時代の三種の神器)” โด่งดังขึ้นมา นั่นคือเครื่องใช้ไฟฟ้า 3 ชนิด ได้แก่ โทรทัศน์ขาวดำ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น คำนี้มาจากการเล่นคำกับ “เครื่องราชกกุธภัณฑ์ทั้งสาม (三種の神器)” สิ่งแสดงอำนาจขององค์จักรพรรดิญี่ปุ่น อันได้แก่ พระแสงดาบคุซะนะงิ (草薙劍) กระจกยะตะ โนะ คะงะมิ (八咫鏡) และอัญมณียะซะกะนิ โนะ มะงะตะมะ (八尺瓊勾玉) ในยุคโชวะ สามเครื่องใช้ไฟฟ้านี้นับว่าเป็นของที่ผู้คนในยุคนั้นใฝ่ฝันอยากมี อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูประเทศหลังสงครามและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เพราะเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ทำให้เวลาที่ใช้ไปกับการทำงานบ้านนั้นลดลงอย่างมาก ในทัศนะส่วนตัวของผู้เขียน สามเครื่องใช้ไฟฟ้านี้อาจเป็นแรงบันดาลใจต่อไอเดียของ “ของวิเศษ (秘密道具)” ของโดราเอมอนก็เป็นได้

 .

“กำเนิดโดราเอมอน”

โดราเอมอน หรือหุ่นยนต์พี่เลี้ยงเด็กหมายเลข MS-903 เกิดวันที่ 3 กันยายน 2112  ณ โรงงานหุ่นยนต์มัท์ซึฌิบะในโตเกียว แต่เกิดมีฟ้าผ่าลงมาทำให้ไฟช็อตระหว่างการผลิต นอตตัวสำคัญ 1 ตัวเลยหลุดหายไป โดราเอมอนจึงเป็นหุ่นยนต์ที่มีตำหนิ ไม่มีผ่านออดิชันพี่เลี้ยงเด็กหลังจบการศึกษา แต่เซวาชิ (ลื่อของโนบิตะ) ในวัยเด็กเผลอกดไปโดน จึงได้รับเลี้ยงไว้ จนถึงช่วงที่เซวาชิพาโดราเอมอนไปยังบ้านโนบิ ณ เขตเนริมะ กรุงโตเกียว ในยุคที่โนบิตะอาศัยอยู่ เพื่อทำให้โนบิตะมีชีวิตที่ดีขึ้น ลูกหลานจะได้ไม่ลำบากยากจนข้นแค้น โดราเอมอนมี น้ำหนัก (กิโลกรัม) ส่วนสูง (เซนติเมตร) รอบศีรษะ (เซนติเมตร) รอบอก (เซนติเมตร) ช่วงขา (มิลลิเมตร) ความสูงสูงสุดที่กระโดดได้ (เซนติเมตร) ความเร็วสูงสุด (กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และพลัง (แรงม้า) เป็นเลข 129.3 ทั้งหมดเลย ตัวเลขนี้มีที่มาจากค่าเฉลี่ยส่วนสูงของเด็ก ป.4 ช่วงกลางทศวรรษ 1970

.

“ลาก่อน… โดราเอมอน”

ตอนจบของโดราเอมอน คงเป็นอีกหนึ่งตอนที่เรียกน้ำตาจากผู้ชมหลายท่านไม่มากก็น้อย ตัวผมเองก็เช่นกัน ตอนจบของโดราเอมอนรวมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีทั้งหมด 5 แบบ โดยแบ่งเป็นตอนจบที่ อ.ฟูจิโมะโตะ เขียน 3 แบบ และทีมงานเขียนหลังจากอาจารย์เสียชีวิตอีก 2 แบบ โดยจะขอสรุปดังนี้ 
1. ตอนจบแรก เขียนลงนิตยสารเมื่อพิมพ์ครบ 1 ปี ฉบับ มีนาคม 1971 สาเหตุที่ต้องจากลากันก็เพราะตำรวจกาลเวลาออกกฎห้ามเดินทางข้ามเวลาแล้ว 
2. ตอนจบแบบที่สอง เขียนลงนิตยสารเมื่อพิมพ์ครบ 2 ปี ฉบับ มีนาคม 1972 สาเหตุคือ ตอนก่อนหน้านี้คือตอนที่ชื่อว่า “เจ้าสาวของโนบิตะ” ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่าเจ้าสาวในอนาคตเปลี่ยนไปเป็นชิซุกะแล้ว ในตอนถัดมา (ตอนจบ) เซวาชิจึงไม่อยากให้ปู่ทวดพึ่งพาโดราเอมอนมากเกินไป เลยเรียกตัวกลับ   

3. ตอนจบแบบที่สาม เขียนลงนิตยสารเมื่อพิมพ์ครบ 3 ปี ฉบับ มีนาคม 1973 แต่ไม่สามารถค้นหาต้นฉบับเจอได้ จึงมีเพียงเด็กในยุคนั้นที่ได้อ่าน 
4. ตอนจบแบบที่สี่ เขียนลงนิตยสารเมื่อพิมพ์ครบ 4 ปี ฉบับ มีนาคม 1974 ตอนจบนี้เป็นตอนจบที่ทุกคนคุ้นตากันมากที่สุด เพราะเป็นตอนจบของมังงะที่เราได้อ่านกัน สาเหตุคือโดราเอมอนต้องกลับโลกอนาคต และฉากเรียกน้ำตาก็คือฉากที่โนบิตะต่อสู้กับไจแอนท์ด้วยตัวเองเพื่อพิสูจน์ให้โดราเอมอนเห็นว่าตนอยู่เองได้และอยากให้โดราเอมอนกลับไปโดยไม่ต้องเป็นห่วง สุดท้ายโดราเอมอนก็จากไปพร้อมทิ้งของวิเศษไว้ 1 อย่างนั่นก็คือ “น้ำยาโกหก (ウソ800 อ่านว่า อุโซะเอะอิโตะโอโอ)” น้ำยาที่เมื่อพูดอะไรออกมาแล้ว สิ่งนั้นจะกลายเป็นจริงในทางตรงกันข้าม ในตอนช่วงท้าย โนบิตะกลับมาห้องพร้อมบอกกับแม่ว่า “โดราเอมอนไม่อยู่แล้วนี่ครับ” คำพูดนั้นจึงกลับกลายเป็นโดราเอมอนกลับมาจริงๆ (เลข 800 นี้ผู้เขียนสันนิษฐานว่ามาจากคำว่า 嘘八百 ที่แปลว่าเรื่องราวที่มีแต่เรื่องโกหก ซึ่งมีความหมายตามตัวอักษรเดียวกันกับ ウソ800 เพียงแค่เขียนต่างกัน โดย 八百 หรือที่แปลตรงตามอักษรคือเลขแปดร้อยนั้น แปลว่า จำนวนมาก ดังที่เห็นในคำว่า 八百屋 (ร้านขายผัก, มีผักมากมายหลายชนิด) หรือ 八百万の神 (เทพญี่ปุ่น ซึ่งมีจำนวนมากคณานับ))
5. ตอนจบใน Stand By Me (2014) มีที่มาจากตอนจบแบบที่ 4 
หลังจากนั้นโดราเอมอนก็ดำเนินเรื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

.

“โดราเอมอนในบทบาททูต”

ด้วยความนิยมของโดราเอมอนที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลก โดราเอมอนจึงเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่น ทำให้ในปี 2013 โดราเอมอนถูกแต่งตั้งเป็น “ทูตประจำการแข่งขันโอลิมปิก” ในปี 2020 ที่จะจัดขึ้นในญี่ปุ่น (ถูกเลื่อนไปจัดปี 2021 เพราะวิกฤติโควิด-19) แต่สิ่งที่อยากพูดถึงในบทความนี้คือเรื่องของการที่โดราเอมอนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตสันถวไมตรีอย่างเป็นทางการ (ทูตวัฒนธรรม) ของประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2008 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น นับเป็น “ทูตแอนิเมชัน” ตัวแรกของประเทศ เพื่อช่วยในการประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบญี่ปุ่นสู่สายตาชาวโลก ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกใจที่คนไทยหลายคนจะรู้จักหรือเคยเห็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นหลายอย่างผ่านตามาก่อนในการ์ตูนโดราเอมอน จึงอยากจะขอยกตัวอย่างวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่สอดแทรกไว้ในโดราเอมอนให้เห็นภาพกัน 

- อาหารและขนมญี่ปุ่น เช่น ข้าวหน้าหมูทอด โดรายากิ เห็ดมัตสึทาเกะ / ปรากฏในหลากหลายตอน
- วัฒนธรรมการกิน เช่น การยกชามข้าว การใช้ตะเกียบ การกินของว่าง / ปรากฏในหลากหลายตอน
- การนั่งแบบเซะอิสะ (正座) คล้ายการนั่งพับเพียบของไทย / ปรากฏในหลากหลายตอน
- กีฬาเบสบอล การเล่นเค็นดามะ การเล่นพันด้าย การละเล่นจับแมลงในหน้าร้อน / ปรากฏในหลากหลายตอน

- สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น : บ้านไม้ เสื่อทาทามิ ประตูโฌจิ (ประตูกระดาษ) เก็งคัน หมอนรองนั่งซะบุตง ฟูกนอนฟุตง / ปรากฏในหลากหลายตอน
- ระบบเงินตรา (เยน) เหรียญ และธนบัตรญี่ปุ่น / ปรากฏในหลากหลายตอน

- กีฬาซูโม การตำโมจิ / ปรากฏในโดราเอมอนตอน ตำโมจิในวันวาเลนไทน์  
- ผีและโยไค (妖怪) / ปรากฏในโดราเอมอนตอน พยายามเข้า เหล่าผีในบ้านผีสิง
- เรื่องเล่าโบราณเรื่องซันเน็นเนทะโร (三年寝太郎-昔話) / ปรากฏในโดราเอมอนตอน หมอนเนทาโร่หลับ 300 ปี
- เรื่องเล่าเจ้าหญิงคะงุยะ จากวรรณกรรมเรื่องทะเกะโทะริ (竹取物語) / ปรากฏในโดราเอมอนตอน เจ้าหญิงคางูยะที่โนบิตะดูแล 
- นักรบมิยะโมะโตะ มุซะฌิ (宮本 武蔵) / ปรากฏในโดราเอมอนตอน หลอดไฟฉายชีวประวัติ 
- เรื่องเล่าโมะโมะทะโร (桃太郎) / ปรากฏในตอนที่มีการใช้ของวิเศษ ขนมดังโงะ ตราโมโมทาโร่
- ประเพณีวัฒนธรรมตามช่วงเวลา ฤดูกาล เช่น การเล่นตีลูกขนไก่ในวันปีใหม่ การรวมญาติในช่วงโอบ้ง ฯลฯ / ปรากฏในหลากหลายตอน

- ทัศนะความงามของฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลง ความสงบใจแบบญี่ปุ่น / ปรากฏในโดราเอมอนตอน เสื่อสร้างอารมณ์ดี

- พิธีชงชา (茶道) / ปรากฏในโดราเอมอนตอน เสื่อสร้างอารมณ์ดี

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น ยังมีอีกหลายสิ่งที่ถูกถ่ายทอดทางอ้อมไปไว้ในโดราเอมอน

- เรื่องราวของมินะโมะโตะ โนะ โยะฌิท์ซึเนะ (源義 経) และคู่หูร่วมรบอย่างเบ็งเกะอิ (弁慶) ในสงครามเก็มเปะอิ (源平合戦) จากวรรณกรรมเฮะอิเกะโมะโนะงะตะริ (มีการพูดถึงสำนวน 弁慶の泣き所 หรือจุดอ่อนของเบ็งเกะอิคือการโดนเตะที่หน้าแข้ง) / ปรากฏในโดราเอมอนตอน ผจญศึกเก็นเป
.

“ข้อคิดจากโดราเอมอน”

.

“1. มิตรภาพและคนรอบข้างคือสิ่งสำคัญของชีวิต”

ในข้อแรกคงไม่ต้องขยายความอะไรมากมาย เพราะหากติดตามโดราเอมอนมา ก็คงจะรับรู้ได้อยู่แล้วว่า มิตรภาพระหว่างพวกพ้องได้รับการขับเน้นอย่างมากในการ์ตูนเรื่องนี้ เพื่อนทั้ง 5 คนที่รักกันโดยไม่มีเงื่อนไข  รักกันอย่างบริสุทธิ์ใจ แม้จะไม่ใช่เพื่อนที่รักใคร่กลมเกลียวกันตลอด มีสุข มีทุกข์ มีทะเลาะ มีกลั่นแกล้ง แต่ยามใดที่เพื่อนเกิดวิกฤติ ทุกคนก็พร้อมใจกันไปช่วยและสนับสนุน ในโดราเอมอน เดอะมูฟวี่ ประโยคที่เรามักจะได้ยินโนบิตะหรือตัวละครอื่นพูดอยู่เสมอเพื่อปลุกใจ ไม่ถอดใจในการช่วยเหลือเพื่อนในโมงยามอันคับขันและดูสิ้นหวังไร้ทางออก ก็คือ “…เพราะเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ…”

.

แม้เรื่องมิตรภาพ คนรอบข้างอาจดูเป็นเรื่องผิวเผินและพบเห็นได้ทั่วไปในภาพยนตร์หรือการ์ตูนเรื่องอื่นหลายต่อหลายเรื่อง แต่การที่การ์ตูนอันเป็นที่นิยมไปทั่วโลกได้สนับสนุนและเป็นกระบอกเสียงให้ทุกคนเห็นคุณค่าของมิตรภาพ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในทัศนะของผู้เขียน ผู้เขียนจึงอยากยกงานวิจัยหนึ่งมาเน้นย้ำความสำคัญ งานวิจัยนี้เป็นของโครงการ Harvard Study of Adult Development ที่มี Robert J. Waldinger เป็นผู้รับผิดชอบหลัก โครงการนี้ติดตามสุขภาพร่างกาย จิตใจ และความสุขของกลุ่มตัวอย่างตลอดชีวิต (เริ่มปี 1938) เพื่อหาปัจจัยที่ช่วยนำไปสู่ชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพ ผลที่ออกมาคือ “ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น” กับครอบครัว เพื่อน ชุมชน เป็นตัวทำนายสุขภาพกาย สุขภาพใจ และอายุขัยได้ดีกว่ายีน ฐานะ ความฉลาด หรือเงินทองเสียอีก และ “ความเหงา” นั้นมีผลร้ายต่อสุขภาพราวกับการสูบบุหรี่หรือดื่มสุรา (คาดว่าคงเป็นเรื่องสุขภาพใจเป็นหลัก) ด้วยเหตุนี้ มิตรภาพจึงสำคัญต่อชีวิตคนอย่างมีนัยยะสำคัญ

.

ในความคิดเห็นส่วนตัว ผู้เขียนเล็งเห็นว่า อนาคตชีวิตของโนบิตะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ก็เพราะโดราเอมอน (ในช่วงวัยก่อนเป็นผู้ใหญ่) และชิซุกะ ผู้เป็นคู่ครอง (ในช่วงวัยผู้ใหญ่) นั่นคือคนรอบข้างเป็นดั่งกระจกสะท้อนให้โนบิตะเห็น ไม่ใช่แค่ความไม่เอาถ่านของตน แต่เป็นบุคลิกลักษณะลึกๆ ที่ตัวเองไม่อาจรู้ตัว เพราะข้อดีของโนบิตะที่ดีที่สุดจริงๆ แล้วก็คือ “จิตใจ” เราจะเห็นได้ว่าโนบิตะในหลายครั้งรักพวกพ้องมากและเห็นค่าความรู้สึกคนอื่น ในบางครั้งก็ยอมเสียสละผลประโยชน์ส่วนตนเพื่อคนอื่น ดังที่ปรากฏในตอน ชิซุกะฉบับกระเป๋า โนบิตะยอมเสียสละเงิน 500 เยน (ราว 100 บาท) ของตนเองที่ตั้งใจไว้ว่าจะนำไปซื้อของขวัญวันเกิดแก่ชิซุกะ เพื่อนำไปให้น้องจิกะจัง เด็กสาวข้างบ้านชิซุกะที่เพิ่งทำเหรียญ 500 เยนตกหายไป ในเหตุการณ์นั้นเอง ชิซุกะก็ได้เฝ้ามองจิตใจอันงดงามของโนบิตะที่ไม่อยากให้น้องจิกะจังต้องเสียใจอยู่ตลอดและกลายเป็นหนึ่งในความทรงจำสำคัญที่มีเพียงแค่คนสองคนเท่านั้นที่รับรู้ 

.

“2. ความไม่สมบูรณ์แบบคือหลักฐานแห่งความเป็นมนุษย์”

Key message หรือข้อความหลักของเรื่องโดราเอมอนที่สำคัญและมีคุณค่าที่สุดในทัศนะผู้เขียนคือเรื่องของความไม่สมบูรณ์แบบ โดราเอมอนพยายามสื่อสารกับเราว่า “ความสมบูรณ์แบบมิใช่คุณลักษณะอันพึงใฝ่หาแห่งความเป็นมนุษย์ อีกทั้งในความเป็นจริงแล้ว ความสมบูรณ์แบบก็มิอาจมีอยู่ หรือหากมีอยู่ ก็มิใช่สิ่งที่ควรปรารถนา ขอเพียงเดินหน้าใช้ชีวิต พินิจให้เห็นถึงความงามของบทเรียนจากการล้มเหลว และเสพสุขสรรเสริญยามความสำเร็จย่างกรายมาถึง”

.

โนบิตะ ตัวละครผู้เป็นภาพสะท้อนของคนไม่เอาถ่าน แต่ถึงจะขี้เกียจหรือมีความรู้ความสามารถต่ำต้อยเพียงใด เขาก็ยังเป็นมนุษย์ปุถุชน มีสิ่งที่ถนัดและไม่ถนัด มีสิ่งที่ชอบและเกลียด มีนิสัยที่ดีและแย่ มีขาวและมีดำ ไม่มีใครในโลกดีบริสุทธิ์ดั่งผ้าขาวอันไร้ความหม่นหมอง เช่นกันกับที่ไม่มีใครในโลกเลวทรามต่ำช้าไปเสียหมด ประหนึ่งผ้าดำด้านที่ไร้ซึ่งจุดสีขาวแม้เพียงหนึ่งมิล สุดท้าย เหนือสิ่งอื่นใด ทั้งนิสัย จิตใจ และตัวตน ไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ทุกสิ่งย่อมผันแปรไปตามกาลเวลา ตัวตนเราในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตย่อมแปรเปลี่ยน 

.

อย่างโนบิตะที่เป็นคนขี้เกียจ สอบได้คะแนนน้อยเกือบทุกครั้ง ไร้ความรับผิดชอบ ชอบพึ่งพาแต่คนอื่น ร่างกายอ่อนแอปวกเปียก (ด้านดำ) แต่กลับกันก็ยังเป็นคนที่มีจิตใจดี คิดถึงและใส่ใจในความรู้สึกของพวกพ้องและคนรอบข้าง แถมยังมีอัจฉริยภาพด้านการยิงปืน การเล่นพันด้าย การโยนถั่ว 5 เม็ดเข้าปาก และการนอน (ด้านขาว) หากเรานำโนบิตะไปเกิดใหม่ในยุค Wild West หรือ American Frontier (ยุคคาวบอย) ของสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไร้กฎหมายอันเข้มงวด โนบิตะคงได้เป็นผู้นำพื้นที่หรือหมู่บ้านสักแห่งและคอยปกป้องผู้คนด้วยทักษะแม่นปืนของตน โนบิตะคงเป็นที่นิยมชมชอบอย่างมากเป็นแน่แท้

.

“เอาหน่า ถึงจะล้มเหลวก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันจะคอยมองดูนายด้วยสายตาอันอบอุ่นเอง (ま、失敗してもいい。あたたかい目で見守ってやろう。)” จากโดราเอมอนเดอะมูฟวี่ ตอน ไดโนเสาร์ของโนบิตะ 
คำพูดนี้ของโดราเอมอนต่อโนบิตะที่กำลังตั้งใจค้นคว้าศึกษาเรื่องไดโนเสาร์ในการตามล่าหาฟอสซิลแสดงให้เห็นว่า แม้สิ่งที่กำลังจะทำมันเป็นไปได้ยาก หรือจะผลิดอกออกผลลัพธ์มาได้ย่ำแย่เพียงใด แต่ขอเพียงแค่ได้ “ลงมือทำ” เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว 

.

จากคำพูดนี้และเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดจะทำให้เราเห็นได้ว่า โดราเอมอนไม่ได้มาจากโลกอนาคตเพื่อช่วยให้อนาคตของโนบิตะเปลี่ยนไปด้วยของวิเศษอันมากความสามารถเลย แต่มาเพียงแค่เป็นเพื่อนคู่คิดมิตรใกล้ตัวในการสร้างแรงบันดาลใจ สั่งสอน และพร่ำบอกให้โนบิตะลงมือทำและเปลี่ยนอนาคตของเขาด้วยตัวเขาเอง 

.

นอกจากนี้ อยากจะขอกล่าวโยงไปถึงโดราเอมอนเดอะมูฟวี่ ปี 2023 ตอน ฟากฟ้าแห่งยูโทเปียของโนบิตะ ซึ่งเป็นเดอะมูฟวี่ที่ผู้เขียนเองชื่นชอบมากที่สุดในบรรดาเดอะมูฟวี่สมัยใหม่ เรื่องนี้เสียดสีจิกกัดได้อย่างเจ็บแสบต่อสังคมที่มุ่งเน้นสร้างคนให้สำเร็จและเป็นไปตามความต้องการของผู้มีอำนาจเบื้องบน ความสมบูรณ์แบบที่ผู้นำต้องการให้ประชาชนทุกคนในยูโทเปียนั้นมี ก็เป็นไปเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์ของตัวผู้นำเองเท่านั้น การสร้างให้ทุกคนสมบูรณ์แบบ “เหมือนกันหมด” นั้นกลับเป็นดาบสองคมที่ได้เชือดเฉือนเอาอัตลักษณ์ตัวตนของเด็กเหล่านั้นไป ในตอนจบของเรื่องโดราเอมอนที่กำลังถูกทำให้เป็นตัวละครที่สมบูรณ์แบบกลับโดนโนบิตะพูดว่าเขาไม่ได้ต้องการโดราเอมอนแบบนั้น นั่นแสดงว่าโนบิตะไม่ได้ถวิลหาความสมบูรณ์แบบในตัวโดราเอมอน แต่กลับรักและชอบในโดราเอมอนคนเดิมที่มีทั้งด้านดีและไม่ดี 

.

ผู้เขียนจึงอยากนำคำสอนนี้มาเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า ความสมบูรณ์ก็เปรียบประหนึ่งจิ๊กซอว์ที่ไร้ส่วนเกินหรือส่วนขาด เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่เรียบเนียนไปทุกมุม แต่เมื่อนำไปวางกับจิ๊กซอว์ชิ้นอื่นแล้ว เราจะพบว่าจิ๊กซอว์จัตุรัสสมบูรณ์นี้ต่อเข้ากับชิ้นอื่นไม่ได้เลย แต่ชิ้นอื่นที่อาจจะมีส่วนขาด (เสมือนข้อเสียในตัวเรา) และส่วนเกินที่ยื่นออกมา (เสมือนข้อดีของตัวเรา) กลับสอดประสานเรียงร้อยด้วยกันได้เป็นอย่างดี ก็เพราะในทางกลับกัน ความไม่สมบูรณ์แบบนั้นได้ก่อให้เกิดคุณค่าของคนรอบข้างที่มีโอกาสได้มาเกื้อกูลและสนับสนุนในสิ่งที่เราขาด เราเองก็ได้ไปเติมเต็มส่วนที่คนอื่นขาดหายไปเช่นกัน ความสัมพันธ์ให้-รับอันเกิดจากความไม่สมบูรณ์แบบของแต่ละฝ่ายนั้นก่อเกิดเป็นคุณค่าในตัวตนของเราอันหาสิ่งใดเปรียบ

.

เมื่อพูดถึง “ความไม่สมบูรณ์แบบในชีวิต” ผู้เขียนจึงนึกถึงปรัชญาเลื่องชื่ออย่างวะบิ-ซะบิในพิธีชงชาของประเทศญี่ปุ่นอันมีความไม่สมบูรณ์แบบเป็นจุดสำคัญในปรัชญาเรื่องนี้

.

ทั่วไปแล้ว วะบิ-ซะบิสำหรับคนไทยคงเป็นที่รู้จักในฐานะแนวคิดสำคัญในวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่พร่ำสอนให้ยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบและมองสิ่งนั้นอย่างที่เป็น เมื่อพูดถึงคำนี้ หนังสือวะบิ-ซะบิของ Beth Kempton พิธีชงชา หรือพุทธศาสนานิกายเซนก็คงผุดภาพขึ้นในความคิดมาไล่เลี่ยกัน แนวคิดอันมีทิศทางไม่มุ่งสู่ความสมบูรณ์แบบนั้นคงช่วยพลิกกลับมุมมองความคิดของคนไทยหลายคน 

.

เมื่อพูดถึง วะบิ-ซะบิ แล้วนั้น ผู้เขียนจึงอยากจะขออธิบายเสริมความพอสังเขป ด้วยจุดประสงค์ที่ว่าทุกท่านจะเข้าใจที่มาและความหมายของวะบิ-ซะบิได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น 

.

วะบิ (侘) มาจากคำกริยาคือ วะบุ (侘ぶ) โดยดั้งเดิมมีความหมายด้านลบ วะบิหมายความว่า “รู้สึกเศร้าเสียใจ หรือกลัดกลุ้มใจกับสิ่งที่ผิดไปจากความคาดหวัง (不如意を悲しんで思い煩う)” คำดังกล่าวมักใช้ในการอธิบายความพยายามของการขวนขวายสู่สภาวะอิ่มเอมทางจิตใจท่ามกลางสภาวะอันแสนยากลำบากและแร้นแค้นในสมัยนั้น คำว่าวะบิได้มีการกล่าวถึงตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 8 ในวรรณกรรมรวมบทกวีญี่ปุ่นโบราณที่ชื่อว่า “มันโยฌู (万葉集)” ในวรรณกรรมดังกล่าว วะบิ หมายถึง สภาวะจิตใจอันเจ็บปวดจากรักที่ไม่สมหวัง ต่อมาในสมัยเฮอัน (ปี 794-1185) ความหมายขยายไปถึงความเศร้าและทุกข์ตรมตามที่กล่าวถึงข้างต้น แต่ต่อมาเมื่อเข้ายุคสมัยชูเซ (中世時代) หรือตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 11 ความหมายของวะบิเป็นไปในแง่บวกมากขึ้น กล่าวคือ มองความแร้นแค้นเสมือนหนทางปลีกหนีจากวัตถุนิยมและความกังวลในชีวิตสู่สภาวะจิตที่เรียบง่าย พร้อมกันกับอิทธิพลของพุทธศาสนานิกายเซนในยุคสมัยดังกล่าว ผู้คนจึงเริ่มมองหา “ความงามในความเรียบง่ายและความไม่สมบูรณ์” เช่น ความงามของพระจันทร์ที่เมฆหมอกปิดเร้นความงามไปบางส่วนนั้นงามสง่ากว่าดวงจันทร์วันเพ็ญอันเด่นสง่ากลางฟากฟ้า และต่อมา วะบิก็ค่อยๆ เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมชาวเมืองอย่างพิธีชงชามากขึ้น เช่น พิธีชงชาในสมัยเอโดะ (ปี 1603-1868) ที่เน้นความสงบเงียบเรียบง่ายก็มีชื่อเรียกว่า “วะบิชะ (侘び茶)”

.

ซะบิ (寂び) ปรากฏอยู่ในมันโยฌูเช่นเดียวกันกับวะบิ โดยปรากฏในรูปคำว่า “ซะบุชิ หรือ ซะบิชิ” ซะบิในบทกวีแต่เก่าก่อนเหล่านี้หมายถึง “การคร่ำครวญถึงรักที่ไม่สมหวัง” คล้ายคลึงกันกับ วะบิ และต่อมาความหมายก็มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เช่น วะบิในความหมายของ “ความเก่า” “ทิวทัศน์ความโหดร้ายของธรรมชาติ” ส่วนมากนั้นยังคงเป็นความหมายด้านไม่ดีเป็นส่วนใหญ่ จนมาถึงการแข่งขันประชันกลอนช่วงปลายยุคเฮอัน กลอนในการแข่งที่ประพันธ์โดยกวีเลื่องชื่อนามว่า ฟุจิวะระ โนะ ฌุนเซอิ นั้นได้เปิดศักราชใหม่ต่อความหมายของซะบิในด้านบวก ความงามในซะบิที่ถูกค้นพบนี้ก็สืบทอดต่อกันมาผ่านกลอนและบทประพันธ์ญี่ปุ่นรูปแบบต่างๆ จนเข้ามามีอิทธิพลในโลกของการชงชา ในปัจจุบัน ซะบิหมายถึง “ความงามในความเงียบงันสันโดษ สิ่งของคร่ำคร่า และสภาวะเหี่ยวแห้งถอยแรงอันเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา”

.

แม้ในรายละเอียด วะบิ-ซะบิ ยังคงเป็นปรัชญาที่ลึกซึ้งกว่านี้อีกมากเกินกว่าที่จะอธิบายเป็นส่วนอธิบายย่อยในบทความนี้ได้ แต่หากจะกล่าวโดยสรุป วะบิ-ซะบิถือเป็นสุนทรียศาสตร์เฉพาะตัวของญี่ปุ่นที่เน้นทั้งความงามอันเรียบง่าย ไม่สมบูรณ์ (วะบิ) และความงามจากความไม่คงทนถาวรของสรรพสิ่ง (ซะบิ) สุนทรียศาสตร์นี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมญี่ปุ่นและคุณค่าของชาวญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงนิกายเซน พิธีชงชา ภาพวาด สวน ศิลปะและงานฝีมือ รวมถึงโดราเอมอนที่เรากำลังพูดถึงอีกด้วย หากจะกล่าวให้ถูกต้องชัดเจนแล้ว ผู้เขียนมีความเห็นว่า แกนหลักของโดราเอมอนที่ผู้เขียนอยากเน้นย้ำนั้นมีรากฐานหลักมาจาก “วะบิ” ดังที่ได้กล่าวถึงไปข้างต้น 

.

“โดราเอมอนกับมุมมองจากผู้อ่อนแอ”

หลายคนคงทราบดีว่าตัวละครหลักที่ใช้ดำเนินเรื่องของโดราเอมอนนั้นก็คือโนบิ โนบิตะ ชายผู้อ่อนแอและไม่เอาถ่าน ในขณะที่การ์ตูนหรือภาพยนตร์ที่ครองใจผู้ชมมากมายหลายเรื่องเลือกที่จะเดินเส้นเรื่องด้วยตัวละครหลักอันเก่งกาจมากความสามารถ แต่โดราเอมอนกลับนำเสนอมุมมองผ่านบุคคลที่อ่อนแอ ผู้เขียนอาจจะไม่ได้มาขยายความในเรื่องนี้มากนักและเห็นว่าเป็นประเด็นที่น่าศึกษาต่อไป เพียงแต่ในบทความนี้ ผู้เขียนอยากจะหยิบยกเฮะอิเกะโมะโนะงะตะริ (平家物語) มาแสดงเป็นตัวอย่างถึงวรรณกรรมญี่ปุ่นที่บอกเล่าผ่านสายตาผู้แพ้ (ผู้อ่อนแอ) เฮะอิเกะโมะโนะงะตะริเป็นวรรณกรรมสงคราม เขียนขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 13 เนื้อเรื่องหลักเล่าถึงการสู้รบกันระหว่างตระกูลทะอิระ (平) ซึ่งถูกใช้ในเป็นชื่อเรื่องวรรณกรรมด้วย และตระกูลมินะโมะโตะ (源) ในช่วงปลายสมัยเฮอันจนถึงยุคต้นของสงครามเก็มเปะอิ (Genpei War) เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความอนิจจังของชีวิตที่นำเสนอผ่านความรุ่งเรืองและล่มสลายของตระกูลทะอิระ  เฮะอิเกะโมะโนะงะตะริจึงเป็นวรรณกรรมที่ทำให้ “ผู้อ่อนแอ / ผู้แพ้ (弱者)” กลายเป็นส่วนสำคัญของโครงเรื่องในการสะท้อนธีมของความไม่เที่ยง และการสลายตัวของอำนาจ ตัวอย่างนี้เป็นหนึ่งในข้อสนับสนุนว่ามุมมองที่นำผู้แพ้มาเป็นเส้นหลักเรื่องหลักนั้นมิได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เคยปรากฏอยู่แล้วในวรรณกรรมสงครามที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่นนั่นเอง

.

“บทส่งท้าย : ฉลองครบรอบ 45 ปี โดราเอมอนเดอะมูฟวี่ ไปกับเดอะมูฟวี่ปี 2025 ตอน เรื่องราวโลกแห่งภาพวาดของโนบิตะ”

.

ตั้งแต่ปี 1980 จนถึง 2024 เป็นเวลากว่า 45 ปีที่โดราเอมอนได้ไปโลดแล่นอยู่บนจอขนาดยักษ์ในโรงภาพยนตร์ทั่วทุกมุมโลก โดราเอมอนเดอะมูฟวี่ตอนล่าสุดที่กำลังจะฉายนี้จึงเป็นเรื่องราวเพื่อมาเฉลิมฉลองช่วงเวลาแสนพิเศษดังกล่าว แต่หากผู้อ่านบางท่านลองไล่ย้อนดูโปสเตอร์หรือเดอะมูฟวี่ทุกภาคดู ก็จะพบว่าแม้จะบอกว่าฉลองครบ 45 ปี แต่มีเดอะมูฟวี่ทั้งหมดเพียงแค่ 43 เรื่องเท่านั้น ผู้เขียนเองรับรู้เรื่องนี้จากการได้ซื้อชุดโปสการ์ดเดอะมูฟวี่ทุกภาคตั้งแต่ภาคแรกมา พอมานับดูแล้วมันไม่ใช่ 45 แต่มีเพียง 43 เท่านั้น จึงอยากนำเรื่องราวนี้มาเล่ากันให้ฟังว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น 
.
โดราเอมอน เดอะมูฟวี่ที่หายไป 2 ปีนั้นก็คือปี 2005 และปี 2021 สำหรับปี 2005 ที่หยุดไปก็เป็นเพราะสาเหตุของการเปลี่ยนเซตนักพากย์เสียงการ์ตูนเรื่องนี้ใหม่ทั้งหมด รวมถึงเปลี่ยนดีไซน์ของการ์ตูนด้วย (จากเวอร์ชัน 1979 เป็นเวอร์ชัน 2005 ตามที่กล่าวไปตอนต้น) การหยุดพักไป 1 ปีจึงเสมือนเป็นช่วงเวลาพักใจให้ผู้ชมหยุดรับภาพจำของดีไซน์เก่า และกลับมาพร้อมกับดีไซน์ใหม่และนักพากย์เซตใหม่ จะได้ไม่ตกใจกับการเปลี่ยนแปลงที่กะทันหัน และสำหรับปี 2021 นั้นก็เป็นเพราะเหตุการณ์โรคระบาดจากไวรัสโคโรนา 2019 ที่ทำให้หลายพื้นที่ในโลกต้องออกมาตรการกำชับไม่ให้คนออกจากบ้านเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของโรคไวรัสนี้ ภาพยนตร์ปี 2021 จึงควบรวมไปกับ ปี 2022 (โดราเอมอนเดอะมูฟวี่ ตอน สงครามอวกาศจิ๋วของโนบิตะ)

.

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ผู้เขียนเองได้มีโอกาสรับชมภาพยนตร์โดราเอมอนเดอะมูฟวี่ตอนใหม่ล่าสุด ชื่อตอนเรื่องราวโลกภาพวาดของโนบิตะ ผู้เขียนเชื่อว่าหากใครคนใดชื่นชอบ หลงรักในงานศิลปะ การได้เข้าไปอยู่ในภาพวาดนั้นคงเป็นความฝันที่ไม่กล้าฝันเป็นแน่แท้ ในเรื่องนี้โดราเอมอนจะพาผองเพื่อนไปตะลุยภาพวาดจากศิลปินอันเลื่องชื่อมากมายทั่วโลก หลังจากนั้นก็มีภาพปริศนาตกลงมายังห้องนั่งเล่นของบ้านโนบิ การผจญภัยในภาพวาดปริศนาและต่อสู้กับปีศาจร้ายในโลกแห่งภาพวาดของโดราเอมอนและทุกคนจึงเริ่มต้นขึ้น โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ได้ประทับใจอะไรเป็นพิเศษในเดอะมูฟวี่ครั้งนี้ แต่คำพูดที่ไมโลบอกโนบิตะว่า “แค่ลองวาดรูปคนที่ชอบ โดยคิดว่าชอบจังเลย ดูสิ” ก็เป็นหนึ่งในคำพูดหมัดเด็ดของเรื่องนี้ที่ให้กำลังใจโนบิตะและคนที่ชมว่า บางทีสิ่งที่เราทำอาจไม่ได้สวย ไม่ได้งาม ไม่ได้โดนใจใครต่อใคร แต่เพียงแค่เราทำสิ่งนั้นด้วยความชอบ เท่านี้ สิ่งนั้นก็จะก่อเกิดคุณค่าในตัวเองต่อจิตใจเราแล้ว 

.

หากจะเขียนอะไรมากกว่านี้คงเป็นการสปอยล์เป็นแน่ สุดท้ายนี้ก็ขอให้ทุกคนมาร่วมฉลองครบรอบ 45 ปี โดราเอมอนเดอะมูฟวี่ ด้วยการไปดูโดราเอมอนเดอะมูฟวี่ 2025 เรื่องราวโลกแห่งภาพวาดของโนบิตะ ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม ในโรงภาพยนตร์กันนะ 


อ้างอิง

ชีริว,  Doraemon FAQs [ออนไลน์],  6 กันยายน 2555. แหล่งที่มา https://topicstock.pantip.com/chalermthai/topicstock/2012/09/A12600692/A12600692.html


เดือนเต็ม กฤษดาธานนท์,  นวนิยายญี่ปุ่นร่วมสมัย (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2565), หน้า 17


นรีนุช ดำรงชัย,  ญี่ปุ่นยุคร่วมสมัย : การเปลี่ยนแปลงทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม (สำนักพิมพ์สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2562), หน้า166-176


ภัทรานิษฐ์ จิตสำรวย,  wabi sabi : เฉลิมฉลองให้กับความไม่สมบูรณ์แบบของชีวิต [ออนไลน์],  26 กรกฎาคม 2563. แหล่งที่มา

https://themomentum.co/wabi-sabi-book-review/

ภูริตา บุญล้อม,  แนวคิด Wabi-Sabi ไม่สมบูรณ์แบบก็มีความสุขได้ [ออนไลน์],  21 มีนาคม 2567. แหล่งที่มา

https://thestandard.co/life/wabi-sabi-mindset/


วิชิตา คะแนนสิน,  นั่งไทม์แมชชีนย้อนดู 7 เรื่องจริง ของ ‘โดราเอมอน’ ที่คุณอาจไม่เคยรู้ [ออนไลน์],  24 ตุลาคม 2562. แหล่งที่มา https://becommon.co/culture/7-facts-of-doraemon/#accept


วิวัฒน์ เกิดสมจิตร,  ไขปริศนา Doraemon เคยมีตอนจบมาแล้ว 5 ครั้ง Doraemon อยู่กับ Nobita ถึงตอนไหน [ออนไลน์],  22 สิงหาคม 2565. แหล่งที่มา https://www.beartai.com/buzz/viral/1140354#:~:text=%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%202-,%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%202%20%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B9%8C%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%9A,%E0%B8%88%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%20%E0%B9%86


อรรถยา สุวรรณระดา,  ประวัติวรรณคดีญี่ปุ่น (สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2562), หน้า 115-119


cha-bliss,  日本の美意識9 さび [online],  10 December 2023. Retrieved from

https://note.com/chabliss/n/n10b401267dc7


Liz Mineo,  Harvard study, almost 80 years old, has proved that embracing community helps us live longer, and be happier [online],  11 April 2017. Retrieved from https://news.harvard.edu/gazette/story/2017/04/over-nearly-80-years-harvard-study-has-been-showing-how-to-live-a-healthy-and-happy-life/


The Gate to KANSAI,  「侘び寂び」って何?関西で日本人の美意識を感じられる景色5選 [online],  26 September 2025. Retrieved from

https://www.the-kansai-guide.com/ja/article/item/16213/

The MATTER culture,  50 ปี โดราเอมอน : หุ่นยนต์แมวสีฟ้าที่โตมาด้วยกัน ฑูตผู้ส่งต่อวัฒนธรรมญี่ปุ่นข้ามยุค [ออนไลน์],  15 ตุลาคม 2562. แหล่งที่มา

https://thematter.co/entertainment/50-years-of-doraemon/87437


鈴木 貞美,  わび・さび・幽玄:伝統的な日本の美意識はいかにして形成されたのか?[online],  8 November 2023. Retrieved from

https://www.nippon.com/ja/japan-topics/b02355/


岩井 茂樹,  「日本的」美的概念の成立(二) : 茶道はいつから 「わび「さび」になったのか? [online],  31 October 2006. Retrieved from

https://share.google/khkIOmnvDKqLUL5A6


เนื้อหา : ติวต้น แผ่ธนกิจ

พิสูจน์อักษร : หงส์ปีกไหม้ และ อชิตา วิเศษเจริญ

ศิลป์ : มอนอ