*มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนต์ The Texas Chainsaw Massacre (1974), The Silence of The Lamb (1991), Raw (2016) และ Bones and All (2022)
**Trigger Warning: Cannibalism
Cannibalism หรือ พฤติกรรมที่มนุษย์กินเนื้อหรืออวัยวะบางส่วนของมนุษย์ด้วยกันเอง เป็นประเด็นที่ปรากฏให้เห็นอยู่บ้างในวรรณกรรมหรือบทละครก่อนยุคหลังสมัยใหม่ (postmodern era) แต่มักจะไม่ใช่แก่นหลักของเรื่อง หากแต่เป็นองค์ประกอบรองที่ใช้สื่อถึงบาปกรรม การล้างแค้น ความวิปริต หรือแฝงนัยยะของความเป็นอื่น (otherness) กลับกัน การนำเสนอประเด็น “มนุษย์กินคน” ในสื่อยุคหลังสมัยใหม่มีความหลากหลายและขยายไปสู่ประเด็นต่างๆ มากขึ้น เช่น การเสียดสีสภาพสังคม การวิพากษ์วิจารณ์ระบบเศรษฐกิจ การนำเสนอแนวคิดสตรีนิยม และอื่นๆ อีกมากมาย ผู้เขียนจึงอยากพานักอ่านทุกท่านไปสำรวจพลวัตและความหลากหลายของความหิวกระหายเนื้อมนุษย์ที่ปรากฏทั้งในวรรณกรรมและภาพยนตร์ เพื่อให้เห็นว่าการนำเสนอประเด็นมนุษย์กินคนนั้นไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่
ร่องรอยของมนุษย์กินคนในวรรณกรรมในอดีต : บาปหนา ป่าเถื่อน วิปริต
“อย่าวิงวอนข้าเสียให้ยาก เจ้าคนต่ำช้า หากเพียงไฟแห่งโทสะได้เปลี่ยนข้าให้กลายเป็นอสูรวิปลาส ข้าคงแล่เนื้อเจ้ากินดิบ ๆ เพื่อชดใช้กรรมชั่วที่เจ้าก่อไปเสียแล้ว” (โฮเมอร์, มหากาพย์อีเลียด, บทที่ 22 บรรทัดที่ 345-348)
ข้อความข้างต้นคือคำกล่าวของ อคิลลีส นักรบผู้ยิ่งใหญ่ใน มหากาพย์อีเลียด ของ โฮเมอร์ หลังจากที่ตนเอาชนะ เฮกเตอร์ เจ้าชายแห่งเมืองทรอยในการประลองแบบสองต่อสอง ขณะที่เฮกเตอร์นอนหายใจโรยรินและกำลังจะสิ้นใจตาย เขาได้ขอร้องอ้อนวอนให้อคิลลีสส่งร่างของตนกลับไปให้พระบิดาที่เมืองทรอยเพื่อจัดพิธีศพอย่างสมเกียรติ กระนั้น ไฟแค้นจากการที่เจ้าชายแห่งเมืองทรอยผู้นี้ได้สังหารสหายคนสนิทของตนทำให้อคิลลีสปฏิเสธคำขอดังกล่าว ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้น เขามัดร่างของศัตรูผู้นี้ไว้กับรถศึกและลากไปมารอบเมืองทรอย เป็นการหยามเกียรติของเฮกเตอร์ในฐานะนักรบอย่างถึงที่สุด
หากมองเพียงผิวเผิน คำพูดของอคิลลีสอาจดูเป็นเพียงถ้อยคำที่พรั่งพรูออกมาจากความคับแค้นใจทั่วไป การที่เขาอยาก “กินเนื้อดิบๆ” ของเฮกเตอร์ก็เป็นเพียงอุปมาที่ใช้ขับเน้นความโกรธเกรี้ยวรุนแรงที่กำลังเอ่อล้น อย่างไรก็ตาม การเลือกใช้อุปมาการกินเนื้อคนในมหากาพย์เรื่องนี้มีนัยยะสำคัญมากกว่าแค่ลูกเล่นในเชิงโวหาร เนื่องจากอุปมาดังกล่าวสะท้อนให้เห็นทัศนะพื้นฐานของกรีกโบราณที่มีต่อเส้นแบ่งระหว่าง “ความซิวิไลซ์” กับ “ความป่าเถื่อน” อย่างชัดเจน
มีคำในภาษากรีกโบราณอยู่คำหนึ่งที่ใช้เรียกชนเผ่าเร่ร่อนที่อาศัยอยู่แถบพื้นที่ราบของยูเรเซียนั้นคือ Androphagi ซึ่งแปลได้ว่า พวกมนุษย์กินคน คนกลุ่มนี้ในสายของชาวกรีกคือคนป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม และที่สำคัญคือพวกเขาถูกมองว่ากินเนื้อมนุษย์จริงๆ ดังนั้น คำว่ามนุษย์กินคนจึงผูกโยงอย่างตรงไปตรงมากับความป่าเถื่อนไร้อารยะตามทัศนะของกรีกโบราณ นอกจากนี้ในมหากาพย์โอดิสซีย์ของโฮเมอร์เองก็มีตัวละครยักษ์ตาเดียวผู้กินเนื้อมนุษย์ที่ชื่อ โพลีฟีมัส ซึ่งเป็นตัวอย่างของความไม่มีอารยะ ไร้เมตตากรุณา และไม่ปฏิบัติตามบรรทัดฐานของสังคม (social norms) ดังนั้น คำพูดของอคิลลีสจึงไม่ใช่แค่ความคับแค้นใจทั่วไป การที่เขาโกรธจนอยาก “กินเนื้อดิบๆ” นั้นหมายถึงความโกรธในระดับที่ความเป็นมนุษย์ของเขาหายไป โฮเมอร์ต้องการสื่อว่านักรบกรีกผู้สูงส่งซึ่งเป็นดั่งภาพแทนของความมีอารยะแบบกรีกบัดนี้ถูกความโกรธเข้าครอบงำจนไม่ต่างอะไรกับอสูรกายป่าเถื่อน เราจึงสรุปได้ว่า อุปมามนุษย์กินคนในมหากาพย์อีเลียดสะท้อนทัศนะ/ทัศนคติของการแบ่งแยกระหว่างความเป็น พวกเรา (us) และพวกเขา (them) ด้วยการเชิดชูความเป็นอารยะของคนกลุ่มตนและตราหน้าคนกลุ่มอื่นว่าเป็นกลุ่มคนที่ “ป่าเถื่อน”
ในคัมภีร์ไบเบิลก็ปรากฏการพูดถึงพฤติกรรมมนุษย์กินคนให้เห็นเช่นกัน โดยส่วนใหญ่จะเป็นไปในลักษณะของการที่พ่อแม่ต้องกินลูกของตัวเองเพราะความอดอยาก อันเป็นเหตุจากหายนะที่เกิดจากการละทิ้งศรัทธาต่อพระเจ้า เช่น “และถ้าเป็นอย่างนี้แล้วเจ้ายังไม่ยอมฟังเรา และยังประพฤติขัดแย้งเรา เราจะดำเนินการขัดแย้งเจ้าด้วยความโกรธ และเราเองจะลงโทษเจ้าเพราะความผิดบาปของเจ้าเจ็ดเท่า เจ้าทั้งหลายจะกินเนื้อลูกชายของพวกเจ้า และเจ้าทั้งหลายจะกินเนื้อลูกสาวของพวกเจ้า” (เลวีนิติ 26:27-29) หรือ “และเราจะทำให้เมืองนี้เป็นที่น่าหวาดหวั่น เป็นสิ่งที่ถูกเยาะเย้ย ทุกคนที่ผ่านไปจะหวาดหวั่น และจะเยาะเย้ยความหายนะทั้งสิ้นของเขา และเราจะทำให้พวกเขากินเนื้อของบุตรชาย และบุตรหญิงของตน และทุกคนจะกินเนื้อของเพื่อนของตน” (เยเรมี 19:8-9) ข้อความในพระคัมภีร์ข้างต้นคือ การผูกโยงประเด็นมนุษย์กินคนกับการพิพากษาของพระเจ้า การที่ผู้คนเหล่านี้ต้องกินเนื้อกันเองนั้นเป็นผลจากการที่พวกเขาละทิ้งพระผู้เป็นเจ้า ทำให้ต้องพบเจอกับหายนะต่างๆ เช่น สงคราม อันนำไปสู่ความอดอยากจนต้องกินเนื้อของเผ่าพันธุ์เดียวกัน พ่อแม่ผู้มีหน้าที่ชุบเลี้ยงและอุ้มชูบุตรของตนให้เติบใหญ่กลับต้องมากินเนื้อของบุตรหลานตน สะท้อนความตกต่ำทางศีลธรรมและการล่มสลายของอารยธรรม มนุษย์กินคนในไบเบิลจึงผูกโยงกับบาปกรรมและการลงทัณฑ์จากสวรรค์อย่างชัดเจน
บทละครเรื่อง Titus Andronicus ที่ประพันธ์โดย วิลเลียม เชกสเปียร์ ก็มีฉากที่เกี่ยวข้องกับประเด็นมนุษย์กินคนเช่นกัน โดยบทละครเรื่องนี้เป็นโศกนาฏกรรมว่าด้วยวงจรการล้างแค้นที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแม่ทัพโรมันผู้ชนะศึกต้องเผชิญการแก้แค้นอันโหดเหี้ยมจากศัตรูผู้พ่ายแพ้ เหตุการณ์บานปลายจากการเสียเกียรติและการสูญเสีย จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่เต็มไปด้วยการฆ่า ข่มเหง ทรมาน รวมถึงการกินเนื้อมนุษย์ในตอนจบ โดยการกินเนื้อที่ว่านี้คือ การที่แม่ทัพโรมันคนดังกล่าวฆ่าลูกชายของพระจักรพรรดินี นำเนื้อของพวกเขาไปทำเป็นพายแล้วบังคับให้เธอกินพายชิ้นดังกล่าว ความเคียดแค้นของแม่ทัพโรมันที่มีต่อพระจักรพรรดินีจนถึงขั้นต้องทำเช่นนี้นั้น ไม่ใช่ผลจากเหตุการณ์เดียว แต่เป็นผลพวงของความคับแค้นที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากวงจรของความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเรื่อง อาจกล่าวได้ว่าการล้างแค้นและเหตุการณ์นองเลือดทั้งในและนอกราชสำนักทำให้แม่ทัพโรมันผู้นี้เสียสติจนเข้าข่ายวิกลจริตและส่งผลให้เขากระทำการเช่นนั้น และหากเราลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนจะพบว่าการทำอาหารที่มีขั้นตอนมากมายนั้นต้องอาศัยสมาธิ ความตั้งใจที่แน่วแน่ และความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน การที่แม่ทัพโรมันผู้นี้สามารถชำแหละเนื้อมนุษย์และปรุงจนสุกได้อย่างไม่รู้สึกสะทกสะท้านใจระหว่างขั้นตอนการทำพายนั้นอาจหมายถึงการที่เขามีอาการความผิดปกติทางอารมณ์ก็ได้ ดังนั้นเราจึงสามารถตีความได้ว่าประเด็นมนุษย์กินคนในบทละครเรื่องนี้เป็นดั่งภาพแทนของสภาวะทางจิตใจที่ไม่สามารถรู้สึกถึงความผิดปกติและแปรปรวนไปในทางร้าย หรือเรียกสั้นๆ ว่า “วิปริต”นั้นเอง
มนุษย์กินคนบนแผ่นฟิล์ม
The Texas Chainsaw Massacre : ความอยู่รอดในระบบทุนนิยมและสังคมที่กำลังจะล่มสลาย
ทศวรรษที่ 1970 ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีนักสำหรับพลเมืองอเมริกัน พวกเขาต้องเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อัตราการเกิดอาชญากรรมที่พุ่งสูง และสถานการณ์ทางการเมืองที่ตึงเครียดจากสงครามเวียดนามและคดี Watergate อันอื้อฉาว หลากปัญหาที่รุมเร้าทำให้ผู้คนเกิดความสิ้นหวังและความหวาดหวั่นต่ออนาคตของชาติ ท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านี้ ภาพยนตร์อิสระทุนต่ำเรื่องหนึ่งชื่อ The Texas Chainsaw Massacre ได้ออกฉายเป็นครั้งแรกและสร้างความอกสั่นขวัญผวาให้กับผู้ชมด้วยการนำเสนอภาพและเนื้อหาที่มีความรุนแรง เนื้อเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นเรียบง่าย วัยรุ่นห้าคนโดนครอบครัวฆาตกรไล่ฆ่าในแถบชนบทที่ห่างไกลความเจริญของรัฐเท็กซัส อย่างไรก็ตาม ภายใต้ความเรียบง่ายที่ดูไม่ต่างจากภาพยนตร์แนวไล่เชือดทั่วไป The Texas Chainsaw Massacre ได้จับบรรยากาศแห่งความตึงเครียดของทศวรรษนี้ไว้และถ่ายทอดความความสิ้นหวังของสังคมผ่านฉากไล่ฆ่าเลือดสาดและฆาตกรมนุษย์กินคนไว้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว
ครอบครัว Sawyer คือตัวร้ายหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยพวกเขาไม่ได้เพียงแค่สังหารวัยรุ่นกลุ่มนี้เพียงอย่างเดียว แต่ยังนำเนื้อของเหยื่อมารับประทานและทำเป็นอาหารสำหรับนำไปขายด้วย แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาทำมาตั้งแต่แรก พวกเขาเคยประกอบอาชีพเป็นคนงานในโรงฆ่าสัตว์มาก่อน อย่างไรก็ตาม ด้วยการมาถึงของเทคโนโลยีฆ่าสัตว์ที่ทันสมัยขึ้น เครื่องจักรจึงเข้ามาแทนที่มนุษย์และพวกเขาก็ไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป พวกเขาถูกผลักออกจากตลาดแรงงานและธุรกิจค้าเนื้อมนุษย์คือสิ่งเดียวที่ยังเลี้ยงปากเลี้ยงท้องครอบครัวนี้ต่อไปได้ ในลักษณะหนึ่งพวกเขาคือตัวแทนของชนชั้นแรงงานที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด แต่ในอีกนัยหนึ่ง การฆ่าและกินมนุษย์เพื่อความอยู่รอดของพวกเขาคือภาพแทนของชนชั้นนายทุนที่กำลังสูบเลือดสูบเนื้อชนชั้นแรงงานและสร้างความมั่งคั่งบนความสูญเสียของผู้อื่น เช่น บรรดาบริษัทอาวุธและเคมีภัณฑ์ในช่วงสงครามเวียดนาม เป็นต้น พวกเขาจึงเป็นทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำไปในเวลาเดียวกัน สะท้อนตรรกะของทุนนิยมที่ผู้คนต้องแข่งขันกันเพื่อความอยู่รอด จนทำให้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกลายเป็นเรื่องที่สำคัญน้อยกว่าปากท้องและผลประโยชน์ส่วนตน
The Silence of the Lambs : ฮันนิบาล เล็กเตอร์ มนุษย์กินคนผู้มีอารยะ?
การจะกล่าวว่า ฮันนิบาล เล็กเตอร์ คือตัวละครมนุษย์กินคนที่โด่งดังที่สุดในโลกภาพยนตร์นั้นไม่ใช่การกล่าวที่เกินจริงแต่อย่างใด ความนิยมอันท่วมท้นที่มีต่อตัวละครนี้แสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการมีภาพยนตร์ชุดและซีรีส์ภาคแยกเป็นของตัวเอง แม้ตัวผู้เขียนไม่อาจชี้ชัดได้ว่าอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ตัวละครนี้เป็นที่ชื่นชอบของคนหมู่มาก แต่ก็สังเกตเห็นความน่าสนใจในการออกแบบตัวละครมนุษย์กินคนผู้นี้ นั่นก็คือเขานั้นมีภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากตัวละครมนุษย์กินคนทั่วไปโดยสิ้นเชิง
โดยปกติแล้ว ตัวละครมนุษย์กินคนในวรรณกรรมและภาพยนตร์มักมีภาพลักษณ์ในเชิงลบ เช่น Leatherface จาก The Texas Chainsaw Massacre (1974) ที่เขานั้นไม่สามารถสื่อสารแบบมนุษย์ปกติได้ แสดงถึงความผิดปกติทางพัฒนาการทางปัญญา หรือ ชนเผ่ามนุษย์กินคนดุร้ายที่อาศัยอยู่แถบลุ่มแม่น้ำในประเทศไทย จาก Man From the Deep River (1972) ซึ่งแฝงคติแบบบูรพคดีศึกษา (orientalism) ที่มองโลกตะวันออกว่าเป็นดินแดนป่าเถื่อน ตรงกันข้าม ฮันนิบาล เล็กเตอร์กลับได้รับการออกแบบให้มีความฉลาด สุขุม และมีกิริยามารยาทที่ดีตามขนบของสังคมตะวันตก การกินเนื้อมนุษย์ของเขาในแต่ละครั้งเองต้องผ่านกรรมวิธีการปรุงอย่างดี มีการจัดวางอย่างพิถีพิถัน และรับประทานอย่างมีมารยาทตามแบบสากล คงกล่าวได้ว่า ฮันนิบาล เล็กเตอร์คือตัวละครมนุษย์กินคนที่ได้รับการออกแบบภาพลักษณ์ให้ “มีอารยะ” ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดในมหากาพย์อีเลียดในบทก่อนหน้าอย่างชัดเจน
ความแตกต่างระหว่างประเด็นมนุษย์กินคนในมหากาพย์อีเลียดกับฮันนิบาล เล็กเตอร์นั้นคือการกลับขั้วความหมายของสัญญะ (reverse symbolism) ซึ่งหมายถึงการตีความสัญลักษณ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับความหมายเดิมเพื่อสร้างความหมายใหม่ขึ้นมา การกินเนื้อมนุษย์ในมหากาพย์อีเลียดสะท้อนแนวคิดเรื่องความเป็นอื่น (otherness) ตอกย้ำความเป็นสิ่งแปลกปลอม (them) ที่ไม่อาจปะปนกับมนุษย์ผู้มีอารยะได้ ในทางกลับกัน ภาพลักษณ์ที่ดูมีอารยะของฮันนิบาล เล็กเตอร์ทำให้ผู้ชมมองว่าเขานั้นเป็นพวกเดียวกัน (us) ดังนั้น ความน่าสะพรึงกลัวของตัวละครฮันนิบาล เล็กเตอร์จึงไม่ได้เกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขานั้นเป็นฆาตกรกินเนื้อมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการที่เขาสามารถแฝงตัวอยู่ในสังคมได้อย่างแนบเนียน เขาคือ “ผู้ล่า” ที่แฝงกายอยู่ในรูปของ “ผู้มีอารยะ” เฉกเช่นเดียวกับเรา
การออกแบบตัวละครฮันนิบาล เล็กเตอร์ในลักษณะนี้ทำให้เราในฐานะผู้ที่นิยามตนเองว่ามีอารยะต้องย้อนกลับมาตั้งคำถามว่าความเป็นอารยะของเรานั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงเปลือกนอกที่ใช้ห่อหุ้มความเน่าเฟะของเราไว้อยู่หรือไม่ เพราะบางทีปีศาจร้ายก็แฝงตัวมาในคราบของผู้มีอารยะและอยู่ใกล้เรามากกว่าที่คิด บางทีฮันนิบาล เล็กเตอร์อาจเป็นเพื่อนบ้านหรือคนที่คุณพึ่งเดินสวนกันเมื่อเช้าวันนี้เองก็ได้
Raw : กลิ่นคาวเลือดและแรงปรารถนาทางเพศของอิสตรี
จัสติน เด็กสาวที่โตมาในครอบครัวที่เป็นมังสวิรัติ ถูกบังคับให้กินตับกระต่ายดิบในพิธีรับน้องของคณะสัตวแพทย์ หลังจากได้ลิ้มรสเนื้อสัตว์เป็นครั้งแรก ความปรารถนาที่เธอไม่เคยรู้จักก็เริ่มก่อตัวขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เธอเริ่มกินอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบไปจนถึงการกินเนื้อไก่แบบดิบๆ ที่แช่อยู่ในตู้เย็น ทว่าความหิวกระหายอันแปลกประหลาดที่เกิดจากความปรารถนานั้นก็ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม จนกระทั่งอุบัติเหตุเล็กๆ ในตอนกลางเรื่องทำให้เธอตระหนักได้ว่าสิ่งเดียวที่ร่างกายเธอกำลังเรียกร้องคือเนื้อมนุษย์ต่างหาก
คำว่า “Meat” ในภาษาอังกฤษนั้นหมายถึงเนื้อสัตว์ ขณะเดียวกันก็เป็นคำแสลงที่เอาไว้ใช้เรียกอวัยวะเพศชายเช่นเดียวกัน เนื้อสัตว์จึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ทางเพศ การที่ตัวละครจัสตินถูกครอบครัวห้ามไม่ให้กินเนื้อนั้นก็อาจตีความในเชิงสัญญะได้ว่าเธอคือตัวแทนของเด็กผู้หญิงที่ไม่เคยได้รับการสอนเรื่องเพศศึกษาจากครอบครัว ในหลายสังคม การเปิดอกพูดคุยเรื่องเพศภายในครอบครัวยังเป็นเรื่องที่น่าอับอาย โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่การพูดถึงความต้องการทางเพศของตนนั้นถูกสังคมมองเป็นเรื่องต้องห้าม (taboo) อันเป็นผลพวงมาจากระบบปิตาธิปไตยที่มองความปรารถนาทางเพศของผู้หญิงว่าเป็นสิ่งไม่งามและน่าละอาย ตัวละครจัสตินจึงเป็นตัวแทนของเด็กสาวที่โตมาในสังคมที่สร้างกรอบจำกัดการแสดงออกทางเพศของพวกเธอ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อมีสิ่งมากระตุ้นความปรารถนาที่ถูกกดทับนั้น สำหรับเด็กสาวแต่ละคน สิ่งเร้าอาจแตกต่างกันไป ทว่าในกรณีของจัสติน ตับกระต่ายได้จุดประกายความหิวโหยต่อเนื้อจนยากที่เธอจะควบคุมได้อีกต่อไป
ความน่าสนใจคือคนที่บังคับให้เธอกินตับกระต่ายชิ้นนั้นคือ อเล็กเซีย พี่สาวแท้ๆ ของเธอเอง อเล็กเซียเคยผ่านพิธีรับน้องและกินตับกระต่ายมาก่อน เธอรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้องสาวหากน้องสาวกินตับกระต่ายเข้าไป กระนั้นเธอกลับยัดมันเข้าปากน้องสาวอย่างไม่ลังเล หากนำหลักจิตวิเคราะห์ของ Jaques Lacan เรื่อง ระยะกระจก (mirror stage) มาวิเคราะห์ในบริบทนี้เราอาจตีความได้ว่าอเล็กเซียทำหน้าที่เป็น “กระจก” ที่สะท้อนตัวตนของจัสติน เพราะจัสตินไม่ได้ค้นพบว่าตนเป็นมนุษย์กินคนด้วยตัวเอง หากแต่ผ่านพี่สาวที่เคยผ่านประสบการณ์ดังกล่าวมาก่อน อเล็กเซียจึงกลายเป็นดั่งเงาสะท้อนที่บอกจัสตินโดยนัยว่า “นี่คือสิ่งที่เธอจะต้องเป็น” ในขณะที่ผู้เป็นแม่เอง แม้จะมีสภาวะเดียวกันแต่กลับเลือกปกปิดไม่ยอมบอกความจริง ปล่อยให้ลูกสาวค้นพบด้วยตัวเอง สะท้อนการกดทับ (repression) และความละอายที่ฝังรากลึกทั้งในระดับปัจเจกและระดับสังคม
ในตอนกลางเรื่อง ขณะที่อเล็กเซียกำลังแว็กซ์ขนให้น้องสาว ตัวแผ่นแว๊กซ์กลับติดแน่นจนดึงไม่ออก เธอจึงจัดสินใจนำกรรไกรมาตัดแผ่นแว็กซ์ออก แต่จัสตินดิ้นขัดขืนจนพลาดพลั้งทำให้กรรไกรตัดนิ้วของอเล็กเซียขาดไปหนึ่งนิ้ว ระหว่างที่รอรถพยาบาลมารับ จัสตินไม่อาจต้านทานแรงดึงดูดจากนิ้วที่ขาดชิ้นนั้นได้และเริ่มแทะกินนิ้วชิ้นนั้นอย่างตะกละตะกลาม นิ้วที่ขาดของพี่สาวเปรียบเสมือนลึงค์ (phallic symbol) ที่กระตุ้นความต้องการทางเพศของจัสตินและการกัดกินนิ้วก็เปรียบเสมือนกับการที่จัสตินใช้นิ้วสำเร็จความใคร่ (fingering) เธอจึงตระหนักได้ว่าความปราถนาที่เธอไม่รู้จักในตอนแรก แท้จริงคือความปรารถนาที่อยากถึงจุดสุดยอด (orgasm) และสิ่งนี้แสดงออกผ่านสัญญะของการกินเนื้อมนุษย์นั้นเอง
สัญญะของการกินเนื้อคนในภาพยนตร์เรื่องนี้จึงทำหน้าที่สะท้อนอารมณ์ปรารถนาทางเพศของผู้หญิงที่ถูกกดทับด้วยค่านิยมของสังคม ความหิวกระหายเนื้อมนุษย์ของตัวละครหญิงจึงเป็นภาพแทนของความต้องการทางเพศที่ไม่อาจเปิดเผยได้ เพราะมันเป็นสิ่งต้องห้ามและต้องถูกปกปิดไว้ ไม่ต่างจากพฤติกรรมการกินเนื้อคน ในบทสรุปของภาพยนตร์ อเล็กเซียไม่อาจต้านความปราถนาที่มีต่อเพื่อนร่วมห้องเพศชายของจัสตินได้ เธอจึงกัดกินเขาอย่างตะกละตะกลามอย่างควบคุมไม่ได้ ภาพดังกล่าวชวนให้นึกถึง อาการ hysteria ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายในเชิงลบและใช้ตีตราผู้หญิงว่าผิดปกติหรือเกินควบคุม สุดท้ายอเล็กเซียก็ถูกจับ เป็นดั่งบทลงโทษของผู้หญิงที่แสดงอาการเช่นนี้ คล้ายกับกรณีของ คามิลลา แวมไพร์สาวที่แสดงอาการ hysteria ออกมาและในท้ายที่สุดก็โดนตอกลิ่มเข้าที่หัวใจ สะท้อนว่าการแสดงออกถึงความปราถนาทางเพศของผู้หญิงยังคงถูกทำให้เป็นเรื่องต้องห้าม ผู้หญิงที่แสดงออกอย่างอิสระทางเพศจะต้องถูกตีตราว่าผิดปกติไม่ต่างกับอสูรกายกินคน ตอกย้ำค่านิยมเรื่องเพศของสังคมชายเป็นใหญ่ที่มีอำนาจเหนือร่างกายของผู้หญิง
Bones and All : ความหิวกระหายที่เติมไม่เต็ม
Bones and All คือการผสมที่ลงตัวระหว่างภาพยนตร์แนวรัก ดราม่าและสยองขวัญ โดยเล่าเรื่องราวของ แมเรน เด็กสาวที่ออกเดินทางตามหาแม่หลังจากที่พ่อทิ้งเธอไป ระหว่างเส้นทางอันยาวไกลนี้ เธอได้เรียนรู้ความจริงอันน่าหวาดหวั่นเกี่ยวกับตัวเองที่เธอนั้นเป็น อีตเตอร์ (eater) มนุษย์กินคนที่ต้องกินเนื้อมนุษย์อย่างขาดไม่ได้ เธอได้พบเจออีตเตอร์อีกจำนวนหนึ่งระหว่างการเดินทาง หนึ่งในนั้นคือเด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกันชื่อ ลี ความสัมพันธ์ของพวกเขาก่อตัวขึ้นด้วยความเข้าใจและยอมรับซึ่งกันและกันในฐานะคนที่ถูกผลักไสออกจากสังคม ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดโอกาสให้ผู้ชมได้ตีความสัญญะของมนุษย์กินคนในหลายมิติ โดยหนึ่งในมิติที่ผู้เขียนต้องการนำเสนอคือ การมองสัญญะของมนุษย์กินคนในฐานะภาพแทนของคนที่ติดสารเสพติด
พฤติกรรมมนุษย์กินคนในภาพยนตร์เรื่องนี้ส่งผ่านได้ทางพันธุกรรมเช่นเดียวกับภาพยนต์เรื่อง Raw (2016) ในบทก่อนหน้า โดยแมเรนมีแม่ที่เป็นมนุษย์กินคน ส่วนลีมีพ่อเป็นมนุษย์กินคน ความน่าสนใจคือพฤติกรรมการติดสารเสพติดเองก็สามารถส่งต่อผ่านทางพันธุกรรมได้เช่นเดียวกัน แม้ปัจจัยทางพันธุกรรมไม่ได้การันตีว่าคนคนนั้นจะติดสารเสพติดแต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมดังกล่าว
การเปรียบเทียบมนุษย์กินคนกับพฤติกรรมติดสารเสพติดนั้นยิ่งเด่นชัดขึ้นหากเราลองพิจารณาพฤติกรรมของตัวละครที่เป็นอีตเตอร์ภายในเรื่อง เช่น พฤติกรรมหิวกระหายในเนื้อมนุษย์ที่ยากจะควบคุม อย่างในตอนต้นเรื่องที่เพียงแค่เพื่อนของแมเรนเอานิ้วมาใกล้เธอก็พร้อมจะกัดนิ้วนั้นอย่างไม่ลังเล คล้ายกับผู้ติดสารเสพติดที่เพียงถูกกระตุ้นเล็กน้อยก็เกิดอาการอยากเสพขึ้นมาทันที ในภาพยนตร์เรื่องนี้ พฤติกรรมรุนแรงของผู้ติดสารเสพติดที่มีต่อคนรอบข้างถูกสะท้อนผ่านการฆ่าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงความรุนแรงดังกล่าว ทั้งแมเรนและลีต่างสังหารเหยื่อของพวกเขาโดยไม่ทันคิดถึงผลลัพธ์ที่ตามมา จนกระทั่งพวกเขาได้รู้ว่าเหยื่อคนหนึ่งมีครอบครัว พวกเขาถึงเริ่มรู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเอง เป็นดั่งการสำนึกผิดที่เกิดขึ้นเมื่อผู้ติดสารเสพติดตระหนักว่าพฤติกรรมรุนแรงของตนได้ทำร้ายคนรอบข้างเพียงใด นอกจากนี้ การเป็นมนุษย์กินคนทำให้พวกเขาถูกผลักไสจากสังคมและใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวโดยปราศจากคนที่จะเข้าใจพวกเขา เหมือนกับผู้ติดสารเสพติดที่มักเผชิญความเข้าใจผิดและการกีดกันจากคนรอบข้าง มีเพียงพวกเขาที่เข้าใจซึ่งกันและกันว่าการเป็นมนุษย์กินคนนั้นเป็นดั่งคำสาป ว่าความหิวกระหายเนื้อมนุษย์เป็นดั่งปีศาจร้ายที่อาศัยอยู่ในตัวและต้องต่อสู้กับมันอยู่ทุกวัน และคนที่ไม่ใช่อีตเตอร์ไม่อาจเข้าใจความรู้สึกนี้ได้เลย ตัวอย่างเช่น พ่อของแมเรนที่ทิ้งเธอไปเมื่อเธอเริ่มแสดงอาการแบบเดียวกับแม่ของเธอ แทนที่จะคอยช่วยเหลือดูแลกัน
ความหิวกระหายเนื้อมนุษย์ในภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเปรียบเสมือนยาเสพติดที่ไม่อาจเลิกได้ เป็นความกระหายที่ต้องเติมอยู่เสมอ เป็นช่องว่างที่ไม่มีวันเต็ม และสะท้อนให้เห็นผลกระทบของสารเสพติดที่ย้อนกลับมาทำร้ายทั้งตัวเองและคนรอบข้าง Bones and All จึงเปรียบเสมือนจดหมายถึงผู้ที่กำลังต่อสู้กับอาการเสพติด ว่าพวกเขาไม่ได้กำลังเผชิญหน้ากับปัญหานี้เพียงลำพัง
.
สุดท้ายนี้ ผู้เขียนหวังอย่างยิ่งว่าบทความนี้จะทำให้ผู้อ่านเห็นถึงพลังของการใช้สัญญะมนุษย์กินคนในการสื่อสารความหมายที่หลากหลาย ตั้งแต่ประเด็นทางสังคมและวัฒนธรรม มิติทางจิตวิเคราะห์ ไปจนถึงประเด็นเรื่องเพศ ซึ่งล้วนสะท้อนพลวัตของสัญญะนี้ที่ไม่เคยหยุดนิ่งและเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทและยุคสมัย อย่างไรก็ตาม ยังมีการใช้สัญญะมนุษย์กินคนในอีกหลายมิติที่ผู้เขียนไม่ได้นำมาเป็นส่วนหนึ่งของบทความนี้ ผู้เขียนจึงหวังอีกว่าหากบทความนี้ได้จุดประกายความสนใจในประเด็นนี้แก่ผู้อ่านแล้ว ทุกท่านจะออกไปสำรวจความหลากหลายของสัญญะมนุษย์กินคนด้วยตนเองอย่างหิวกระหาย
อ้างอิง
Crowe, L. (n.d.). Divine Achilles and his Raging Heart: Cannibalism in the Iliad. Eagle Scholar. https://scholar.umw.edu/student_research/647/?utm_source=scholar.umw.edu%2Fstudent_research%2F647&utm_medium=PDF&utm_campaign=PDFCoverPages
Dawson, P. L. K. a. E. (2024). Kingdoms of the Barbarians - Androphagi (Finno-Ugrics). The History Files. https://www.historyfiles.co.uk/KingListsEurope/BarbarianAndrophagi.htm
GotQuestions.org. (2022, January 4). GotQuestions.org. https://www.gotquestions.org/cannibalism-Bible.html
Titus andronicus. (n.d.). Shakespeare Birthplace Trust. https://www.shakespeare.org.uk/explore-shakespeare/shakespedia/shakespeares-plays/titus-andronicus
Mambrol, N. (2021, April 18). Lacan’s concept of mirror stage. Literary Theory and Criticism. https://literariness.org/2016/04/22/lacans-concept-of-mirror-stage
Backman, I. (2024). From hysteria to empowerment. Yale School of Medicine. https://medicine.yale.edu/news/yale-medicine-magazine/article/from-hysteria-to-empowerment
Clinic, C. (2022, June 28). Is addiction hereditary? Cleveland Clinic. https://health.clevelandclinic.org/is-addiction-genetic
เนื้อหา : อรรถกร สุวรรณทอง
พิสูจน์อักษร : วิสุทธิ์ ปัญญวรญาณ และ ปุณยวีร์ วัฒนาธร
ภาพ : อาดิเกสวา วีระยุทธราชา